
SHORT CUT
รวมเหตุการณ์ "น้ำท่วมใหญ่" ของไทย จากอดีตถึงปัจจุบัน สร้างผลกระทบต่อชีวิต ทรัพย์สิน สภาพจิตใจประชาชน รวมไปถึงมูลค่าทางเศรษฐกิจที่เสียหายอย่างหนัก กระทบเป็นลูกโซ่ไปอีกหลายปี
กรุงเทพมหานครเป็นเมืองหลวงของประเทศไทย เป็นเสมือนศูนย์กลางของสถาบันต่างๆ ทั้งการปกครอง การศึกษา การคมนาคม โดยเฉพาะเศรษฐกิจ ทำให้หน่วยงานต่างๆ ให้ความสำคัญในการป้องกันน้ำท่วมมากกว่าพื้นที่อื่น
อย่างไรก็ตาม อย่างที่เราเคยกล่าวไว้ในบทความที่แล้ว หากมองกรุงเทพฯ ในเชิงภูมิศาสตร์จะพบว่า พื้นที่เมืองหลวงก็ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมมาไม่น้อย ด้วยพื้นที่เชิงภูมิศาสตร์ที่ต้องเผชิญกับมวลน้ำมหาศาลจากทุกทิศทาง
ในปี 2485 ตั้งแต่ปลายเดือนก.ย. น้ำท่วมบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า สูงถึง 1.50 ม. ท่วมนานถึง 3 เดือน รวมถึงพื้นที่สำคัญๆ อีกหลายแห่งเช่น สถานีรถไฟหัวลำโพง ถ.เยาวราช อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ภูเขาทอง ถ.ราชดำเนิน อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ พระที่นั่งอนันตสมาคม เป็นต้น
นับเป็นเหตุการณ์น้ำท่วมที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ ก่อนที่จะมีการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่อย่างเขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์ เพื่อมากักเก็บน้ำ
พายุดีเปรสชั่นได้พาดผ่านตอนบนลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้มีปริมาณน้ำสูงทางภาคกลางตอนบน จนเป็นเหตุให้น้ำไหลทะลักเข้าท่วมกรุงเทพฯ
เหตุการณ์น้ำท่วมอุบลราชธานี เกิดจากพายุ 2 ลูกคือ “เบส” และ “คิท” พาดผ่าน และมีน้ำไหลบ่าจากแม่น้ำป่าสักในปริมาณมาก ทำให้เกิดน้ำไหลบ่าจากทุ่งด้านตะวันออกเข้าท่วมพื้นที่กรุงเทพฯ
ถือเป็นเหตุการณ์น้ำท่วมที่ร้ายแรงครั้งหนึ่งในประเทศไทย เหตุเกิดเนื่องจากพายุดีเปรสชัน 2 ลูก พัดผ่านเข้ามายังในประเทศไทย คือ เฮอร์เบิร์ตและคิม ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักจนเขื่อน และอ่างเก็บน้ำที่รองรับปริมาณน้ำฝนรับไม่ไหว จนเกิดเป็นน้ำท่วมในหลายพื้นที่ของภาคเหนือ, อีสาน และตะวันออก รวมเป็นหลังคาบ้านเรือนที่พักอาศัยกว่า 5,000 หลัง จากนั้นเกิดน้ำทะเลหนุน น้ำท่วมเข้า กทม.และปริมณฑล เกิดน้ำท่วมขัง รถยนต์ไม่อาจสัญจรได้
เกิดพายุฝนฤดูร้อนถล่มกรุงเทพฯ และปริมณฑล ในช่วงเดือนพฤษภาคม โดยเฉลี่ยทั่วเขตกรุงเทพฯ มีปริมาณน้ำฝน 200 มม. มากที่สุดในประวัติการณ์ เรียกกันว่า “ฝนพันปี” ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันในหลายพื้นที่ตั้งแต่ เขตยานนาวา ย่านสะพานควาย สวนจตุจักร อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ รวมไปถึง ถ.วิภาวดีรังสิตและรัชดาภิเษก ถ.ลาดพร้าว ถ.สุขุมวิท ถ.สาธร โดยเฉพาะ ซ.เซ็นต์หลุยส์ มีน้ำท่วมขังมากที่สุดประมาณ 50 ซม.ส่งผลให้การจราจรเป็นอัมพาต เกิดไฟฟ้าดับหลายจุด
เกิดน้ำท่วมใหญ่อีกครั้ง เนื่องจากมีพายุหลายลูกพัดผ่าน ทำให้เกิดฝนตกในภาคเหนือ ภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในเดือนพฤษภาคม และมีสภาพฝนตกหนักในช่วงเดือนสิงหาคม ถึงตุลาคม เนื่องจากพายุ “โอลิส” ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยามีระดับสูง 2.27 ม. เหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง ซึ่งถือว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (เท่าน้ำท่วมปี พ.ศ. 2485)
เกิดอุทกภัยใน 47 จังหวัด ทั่วประเทศ ส่งผลให้หลายพื้นที่มีสภาพน้ำท่วมขัง ประกอบกับมีการผันน้ำเข้าเก็บกักเอาไว้ในพื้นที่ว่างเพื่อบรรเทาปัญหาน้ำ ท่วมโดยเฉพาะพื้นที่การเกษตรในจังหวัดชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี ลพบุรี และปทุมธานี รวมประมาณ 1.38 ล้านไร่ ต่อมาจังหวัดดังกล่าวไม่สามารถรับนํ้าได้ไหว นํ้าจึงไหลเข้าท่วมขังที่กรุงเทพฯ เกือบ 1 เมตร นานกว่าสัปดาห์
เกิดปรากฏการณ์ลานีญาและพายุหมุนเขตร้อนหลายลูก รวมถึงพายุโนรู ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ พื้นที่น้ำท่วมจากภาพถ่ายดาวเทียมอยู่ที่ 5.33 ล้านไร่ เขื่อนเจ้าพระยาต้องระบายน้ำสูงสุดในรอบหลายปีที่ 2,500-3,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เพื่อป้องกันน้ำล้นเขื่อน มีปริมาณฝนเฉลี่ยทั้งประเทศ 1,848 มิลลิเมตร มากกว่าปกติ 349 มิลลิเมตร หรือมากกว่าปกติประมาณ 23% หรือมากที่สุดเมื่อเทียบกับข้อมูลในอดีตย้อนหลัง 40 ปี มากกว่าปี 2554 ที่ประเทศไทยเกิดอุทกภัยร้ายแรง
ปี 2568 มีพายุที่ส่งผลกระทบต่อไทย 7 ลูก ล่าสุดคือพายุคัลแมกี ปริมาณฝนเฉลี่ยทั้งประเทศ ตั้งแต่ ม.ค.- 3พ.ย.1,600 มม. เขื่อนหลักลุ่มเจ้าพระยาทั้ง 4 แห่งมีระดับน้ำเฉลี่ย 90–98% ของความจุ
ปี 2554 ประเทศไทยเผชิญกับอุทกภัยครั้งรุนแรงที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยเหตุการณ์เริ่มตั้งแต่ต้นปีและยืดเยื้อจนถึงปลายปี พื้นที่ประสบภัยกระจายตัวอยู่ในทุกภูมิภาคของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ภาคเหนือและภาคกลางที่ต้องเผชิญกับน้ำท่วมหนักเป็นระยะเวลานานหลายเดือน
กรุงเทพมหานครและปริมณฑลประสบกับสถานการณ์น้ำท่วมหนักที่สุดในรอบ 70 ปีนับตั้งแต่เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ในปี 2485 อุทกภัยครั้งนี้ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมหาศาลต่อทั้งทางภาคการเกษตร อุตสาหกรรม เศรษฐกิจ สังคม
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้รายงานความเสียหายจากมหาอุทกภัยครั้งนี้
จากการวิเคราะห์พื้นที่น้ำท่วมโดยใช้ข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียม พบว่าในปี 2554 ประเทศไทยมีพื้นที่น้ำท่วมประมาณ 31.45 ล้านไร่ กระจายตัวอยู่ในทุกภูมิภาคของประเทศ ครอบคลุม 72 จังหวัด 763 อำเภอ 5,296 ตำบล
ปี 2554 เป็นปีที่ฝนมาเร็วและปริมาณฝนมากกว่าปกติค่อนข้างมาก โดยมีปริมาณน้ำฝนสูงกว่าค่าเฉลี่ยเกือบทุกเดือน เริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคมซึ่งนับว่าเร็วกว่าปกติ ปริมาณฝนรวมทั้งปีสูงถึง 1,826 มิลลิเมตร ซึ่งมากกว่าปกติ 25% และยังมากกว่าปี 2538 2545 และ 2549 ที่ประเทศไทยเกิดอุทกภัยรุนแรงอยู่ค่อนข้างมาก นอกจากนี้การกระจายตัวของกลุ่มฝนตกหนักที่เกิดขึ้นในปี 2554 ยังครอบคลุมเป็นบริเวณกว้างกว่าปีอื่น ๆ โดยเฉพาะภาคเหนือที่มีฝนตกหนักเกิดขึ้นเกือบทั่วทุกพื้นที่ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดอุทกภัยรุนแรงในครั้งนี้ เนื่องจากน้ำจากภาคเหนือส่วนใหญ่จะไหลลงสู่ภาคกลางซึ่งเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำและมีโอกาสเกิดน้ำท่วมขังสูงกว่าภาคอื่น ซึ่ง 3 ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ปี 2554 มีฝนตกมาก ประกอบด้วย
ในปี 2554 ประเทศไทยประสบกับปริมาณฝนตกสูงกว่าปกติในหลายพื้นที่ของประเทศ ส่งผลทำให้เขื่อนขนาดใหญ่ทั้ง 33 แห่งรับน้ำในปริมาณมหาศาล โดยตลอดทั้งปีมีปริมาณน้ำไหลลงเขื่อนสะสมรวมกันมากถึง 71,769 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งนับเป็นสถิติสูงสุดเท่าที่เคยมีมา โดยเฉพาะเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคเหนือและภาคกลาง โดยในปี 2554 ทั้ง 3 เขื่อน มีปริมาณน้ำไหลเข้าสูงกว่าปี 2538 และ 2549 ซึ่งเป็นปีที่เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ในอดีต
เขื่อนส่วนใหญ่ของประเทศมีน้ำไหลเข้ามาก แต่กลับมีอุปสรรคในการระบายน้ำเกิดขึ้นเป็นระยะ ๆ โดยเฉพาะปัญหาการเกิดน้ำท่วมบริเวณพื้นที่ท้ายเขื่อนเนื่องจากฝนตกหนัก รวมถึงสภาวะน้ำทะเลหนุน ทำให้การระบายน้ำเป็นไปได้อย่างไม่เต็มศักยภาพ ส่งผลให้ 21 จาก 33 เขื่อน เกิดสถานการณ์น้ำล้นเขื่อน (ปริมาณน้ำเกินระดับกักเก็บปกติ) และถึงแม้เขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์จะไม่เกิดสถานการณ์น้ำล้นเขื่อน แต่ก็จำเป็นต้องเร่งระบายน้ำผ่านทางน้ำล้น (spillway) ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนักสำหรับ 2 เขื่อนนี้
สถานการณ์น้ำท่วมในหลายจังหวัดทางภาคเหนือ ทำให้หลายคนเริ่มวิตกว่ากรุงเทพมหานครและปริมณฑลอาจเผชิญกับปัญหาน้ำท่วมใหญ่เช่นเดียวกับปี 2554 หรือไม่
นายไพฑูรย์ เก่งการช่าง รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ หรือ สทนช. ได้ออกมาโพสต์ข้อความ โดยมีเนื้อหาใจความระบุว่า "น้ำจะท่วมไหม เหตุการณ์มันล่อแหลมมาก จะคล้ายปี 54 ไหม กรุงเทพจะรอดไหม เมื่อไหร่น้ำจะลด ท้ายน้ำจมมานานแล้ว หลากหลายคำถามที่พรั่งพรูมาช่วงนี้ "
คาดการณ์ การระบายน้ำที่เขื่อนเจ้าพระยา น่าจะอยู่ในช่วง 2,500-2,600 ลบ.ม.ต่อวินาที น้ำจากเขื่อนภูมิพล ที่จะเพิ่ม เป็น 20~25~30 ล้านลบ.ม. ต่อวัน เป็นขั้นบันได เพื่อให้น้ำที่ไหลมาจากกำแพงเพชร บ้านตาก ไหลออกไปก่อน แล้วน้ำจากเขื่อนภูมิพลค่อยตามไล่หลังมา น้ำจากสุโขทัย จะตามมาต่อท้ายน้ำจากเขื่อนภูมิพล ทำให้ยอดน้ำสูงสุด ไม่พุ่งพรวดจนทำให้ต้องเร่งระบายน้ำด้านท้ายเขื่อนเจ้าพระยามากเกินไป ส่วนเขื่อนสิริกิติ์ ยังคงที่ในการระบายไม่เพิ่ม ไม่ลด เพื่อความปลอดภัย
คัลแมกี ส่งผลให้มีฝนตกหนักในพื้นที่ภาคอีสาน ตะวันออก และภาคกลาง ตอนบน เหนือตอนล่าง จะไม่ส่งผลถึงเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ มากนัก แต่ก็ไม่ประมาท จึงต้องเพิ่มการระบายน้ำ
สรุปได้ว่า เราน่าจะผ่านปีนี้ไปได้แน่นอน ท่วมในบางพื้นที่ รักษาพื้นที่ส่วนใหญ่ไว้ได้ เร่งดูแล ฟื้นฟู ผู้ได้รับผลกระทบให้เร็ว วางแผนระยะยาวให้ได้ ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศรุนแรง เหวี่ยงขึ้นทุกวัน
ที่มา : คลังข้อมูลน้ำแห่งชาติ , thansettakij
ข่าวที่เกี่ยวข้อง