เปิดประวัติ "สันติ ลุนเผ่" นักร้องเสียงทรงพลัง ผู้ขับขานบทเพลงพระราชนิพนธ์

“จะแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด จะรักชาติจนชีวิตเป็นผุยผง
จะยอมตายหมายให้เกียรติดำรง จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา” 

นับเป็นการสูญเสียครั้งสำคัญของวงการเพลงและศิลปินไทย สำหรับข่าวการจากไปของ เรือตรี สันติ ลุนเผ่ ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีสากล - ขับร้อง) ประจำปี พ.ศ. 2558 ถึงแก่กรรมอย่างสงบด้วยวัย 88 ปี 

ประวัติ "สันติ ลุนเผ่" 

เรือตรี สันติ ลุนเผ่ เกิดเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2479 ชื่อเดิมว่า ไพศาล ลุนเผ่ เกิดที่บ้านในย่านวัดราชบพิธ กรุงเทพมหานคร 

จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษา โรงเรียนอัสสัมชัญ  และปริญญาตรีคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  และสอบชิงทุนยูธลีดเดอร์ชิป ไปศึกษาด้านการเรียบเรียงเสียงประสานที่ประเทศอิสราเอล

เรือตรี สันติ เริ่มศึกษาดนตรีตั้งแต่อายุ 14 ปี ได้รับการฝึกฝนดนตรีคลาสสิกจากการร้องเพลงในโบสถ์คริสต์ ลูกศิษย์ครูเจริญ ฤทธิรักษ์ และหัดเรียนร้องเพลงด้วยตัวเองกับแผ่นเสียงของ Enrico Caruso

ในปี 2527 ได้เข้ารับราชการทหารเรือ ประจำวงดุริยางค์ทหารเรือ มีหน้าที่สอนขับร้อง และเรียบเรียงเสียงประสาน 

ทั้งนี้ เมื่อครั้งถวายงานสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ทรงรับสั่งเรียกชื่อว่า “สันติ” ท่านจึงเปลี่ยนชื่อจาก ไพศาล มาเป็น สันติ ตั้งแต่นั้น

เรือตรีสันติ ลุนเผ่ มีน้ำเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่น
มีชื่อเสียงจากการเป็นนักร้องประจำคณะดุริยางค์แห่งกองทัพไทย และการขับร้องเพลงพระราชนิพนธ์ และเพลงรักชาติ เป็นจำนวนมาก  อย่างเพลง ความฝันอันสูงสุด , หนักแผ่นดิน, ทหารพระนเรศวร, ดุจบิดามารดร, เกิดเป็นไทยตายเพื่อไทย, แด่ทหารหาญในสมรภูมิ และ มาร์ชทหารไทย

ความยอดเยี่ยมในการใช้พลังขับร้องเพลงปลุกใจรักชาติของเรือตรี สันติ เป็นที่ประจักษ์ทั้งในวงการดนตรีและประชาชนทั่วประเทศ

ช่วงบั้นปลายชีวิต เรือตรี สันติ ยังคงสอนขับร้องดนตรีคลาสสิก และเป็นที่ปรึกษาคณบดี วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล

คุณค่าของการถ่ายทอดศิลปะการขับร้องเพลงที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง  
เรือตรีสันติ ลุนเผ่ ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติจากสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม เป็น ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีสากล - ขับร้อง) ประจำปี พ.ศ. 2558

เรือตรี สันติ ลุนเผ่ ได้ถึงแก่กรรมอย่างสงบ เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2567 เมื่อเวลาประมาณ 01.01 น. ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กรุงเทพฯ