svasdssvasds

"สังคมไทยวิกฤต! 'คนแก่เยอะ ตายลำพัง' พุ่ง" เร่งรัฐเตรียมรับมือ

"สังคมไทยวิกฤต! 'คนแก่เยอะ ตายลำพัง' พุ่ง" เร่งรัฐเตรียมรับมือ

ไทยวิกฤตสังคมสูงวัย! ผู้สูงอายุอยู่ลำพัง-ตายโดดเดี่ยวพุ่ง เสี่ยง "โคโดกุชิ" ซ้ำรอยญี่ปุ่น ปัญหาใหญ่เร่งแก้ด่วน!

SHORT CUT

  • สังคมไทยเข้าสู่ "สังคมสูงวัยสมบูรณ์แบบ" และเผชิญปัญหาผู้สูงอายุ "แก่ไม่ดี" และอยู่ลำพังเพิ่มขึ้นอย่างมาก
  • แนวโน้มผู้สูงอายุอยู่ลำพังเพิ่มสูงขึ้น นำมาซึ่งความเสี่ยงของปรากฏการณ์ "โคโดกุชิ" หรือการเสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยว
  • สถานการณ์สังคมสูงวัยและการอยู่ลำพังส่งผลกระทบหลายด้าน ทั้งต่อโครงสร้างแรงงานและเศรษฐกิจ

ไทยวิกฤตสังคมสูงวัย! ผู้สูงอายุอยู่ลำพัง-ตายโดดเดี่ยวพุ่ง เสี่ยง "โคโดกุชิ" ซ้ำรอยญี่ปุ่น ปัญหาใหญ่เร่งแก้ด่วน!

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางประชากรครั้งสำคัญ นั่นคือการก้าวเข้าสู่การเป็น "สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์" (Complete aged society) สถานการณ์นี้หมายถึงการที่ประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 20 ขึ้นไปของจำนวนประชากรทั้งหมด โดยข้อมูล ณ สิ้นปี 2566 พบว่าประเทศไทยมีประชากรสูงวัยจำนวน 13,064,929 คน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20.08 ของประชากรทั้งหมด แนวโน้มนี้กำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และนำมาซึ่งความท้าทายที่ซับซ้อนและหลากหลายมิติ ทั้งด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคม 

ปัญหาที่น่ากังวลอย่างยิ่งประการหนึ่งคือปรากฏการณ์ "ตายอย่างลำพัง" หรือ "โคโดกุชิ" (Kodokushi) ซึ่งกำลังเพิ่มสูงขึ้นและคล้ายคลึงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่น ด้วยเล็งเห็นถึงความสำคัญของปัญหานี้ 

สถานการณ์สังคมสูงวัยและปัญหา "ตายลำพัง"

ประเทศไทยมีลักษณะของสังคมสูงวัยที่เรียกว่า "คนแก่เยอะ แก่เร็ว แต่แก่ไม่ดี" โดยผู้สูงวัยจำนวนมากกำลังเผชิญกับภาวะ "โคโดกุชิ" หรือการตายอย่างลำพัง โดยไม่ได้รับความสนใจจากครอบครัวหรือคนรอบข้าง ปรากฏการณ์นี้พบมากในสังคมญี่ปุ่นซึ่งมีผู้สูงอายุจำนวนมาก โดยในญี่ปุ่นมีผู้สูงอายุที่เสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยวจำนวนไม่ต่ำกว่า 3 หมื่นคนในแต่ละปี และจากข้อมูลล่าสุดคาดการณ์ว่าในปี 2567 จะมีผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่เพียงลำพังเสียชีวิตรวม 68,000 ราย นอกจากญี่ปุ่น ประเทศเกาหลีใต้ก็มีปรากฏการณ์นี้เช่นกันในชื่อ "โกด็อกซา" (Godoksa) โดยเกาหลีใต้เป็นประเทศที่เข้าสู่สังคมสูงอายุแบบสมบูรณ์แล้ว และมีครัวเรือนผู้สูงอายุที่อยู่คนเดียวเป็นจำนวนมาก ประเทศอื่นๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศพัฒนาแล้วและเข้าสู่สังคมสูงอายุ ก็มีแนวโน้มการอยู่ตามลำพังสูงขึ้น รวมถึงสิงคโปร์ที่เริ่มมีปัญหาผู้สูงอายุตายตามลำพังเพิ่มขึ้น

สำหรับประเทศไทย ข้อมูลจากการสำรวจประชากรสูงอายุในปี 2557 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่ามีผู้สูงอายุที่อยู่ตามลำพังจำนวน 8.8 แสนคน และเมื่อวิเคราะห์ด้วยอัตราการตายในปีเดียวกัน พบว่าประเทศไทยมีแนวโน้มที่ผู้สูงอายุจะเสียชีวิตอย่างลำพังอย่างน้อย 4.7 หมื่นคนต่อปี โดยจำนวนนี้เป็นการประมาณการขั้นต่ำ เพราะผู้สูงอายุที่อยู่ตามลำพังอาจมีอัตราการตายสูงกว่าปกติ เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อโรคภัยไข้เจ็บ การถูกทอดทิ้ง การขาดการติดต่อจากโลกภายนอก และความกดดันทางอารมณ์ แนวโน้มผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ตามลำพังหรืออยู่เฉพาะกับคู่สมรสได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา และข้อมูลจากกรมกิจการผู้สูงอายุระบุว่า ณ สิ้นปี 2566 ไทยมีผู้สูงวัยกลุ่มเสี่ยงที่จะเสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยวอยู่มากกว่า 1.3 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ตามลำพัง ผู้สูงอายุในเขตเมืองมีแนวโน้มอาศัยอยู่คนเดียวมากกว่าในชนบท และภาคเหนือเป็นภูมิภาคที่มีผู้สูงอายุอยู่ลำพังหรืออยู่กับคู่สมรสมากที่สุด
ในช่วงขณะที่ยังมีชีวิต ผู้สูงวัยจำนวนไม่น้อยต้องเผชิญกับความว้าเหว่และรู้สึกโดดเดี่ยว เนื่องจากการที่ลูกหลานต้องออกไปทำงาน สถานการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของผู้สูงอายุ โดยเฉพาะความรู้สึกโดดเดี่ยว อ้างว้าง และความเหงา ทำให้กลุ่มผู้สูงอายุที่อยู่ลำพังตกอยู่ในภาวะเปราะบาง และเสี่ยงต่อการถูกล่อลวงหรือฉ้อโกงผ่านช่องทางออนไลน์
ปัญหาสุขภาพอื่นๆ ในผู้สูงอายุ

นอกจากปัญหาด้านจิตใจและความโดดเดี่ยว ผู้สูงอายุยังเผชิญกับปัญหาสุขภาพที่สำคัญ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสามารถในการใช้ชีวิตด้วยตนเอง ปัญหาเหล่านี้ได้แก่ การพลัดตกหกล้ม กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) โดยเฉพาะโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และโรคอ้วนลงพุง โรคเกี่ยวกับข้อเสื่อม ภาวะสมองเสื่อม ซึ่งนักวิชาการบางส่วนเรียกสถานการณ์นี้ว่า "The Long Goodbye" เพราะแม้จะไม่ได้ตายจากกันไป แต่ก็เสมือนว่าจากไปแล้วตลอดกาลทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ โรคทางทันตกรรม

ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม

การเปลี่ยนแปลงทางประชากรที่เข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ส่งผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ต่อโครงสร้างแรงงานและทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจ สัดส่วนประชากรวัยทำงานที่ลดลงทำให้อัตราส่วนพึ่งพิงผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างมาก จากร้อยละ 10.7 ในปี 2537 เป็นร้อยละ 31.1 ในปี 2567 หมายความว่าประชากรวัยทำงาน 100 คน ต้องแบกรับภาระดูแลผู้สูงอายุ 31 คน สิ่งนี้เพิ่มภาระทางการเงินในครัวเรือน และทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคส่วนต่างๆ ซึ่งอาจเพิ่มต้นทุนการผลิตและนำไปสู่การพึ่งพาแรงงานข้ามชาติมากขึ้น

นอกจากนี้ การที่ผู้สูงอายุจำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้ ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการปรับตัวของภาคธุรกิจและการนำเทคโนโลยีมาใช้ ผู้สูงอายุหลายคนยังขาดอุปกรณ์ดิจิทัลพื้นฐาน ทำให้เข้าไม่ถึงสวัสดิการของรัฐในยุคดิจิทัลและอาจหลุดจากระบบการดูแล ในแง่สังคม คนรุ่นใหม่อาจต้องแบกรับภาระดูแลผู้สูงอายุมากขึ้น จนอาจเกิดความตึงเครียดระหว่างรุ่น สังคมไทยยังจำเป็นต้องเร่งสร้าง "ภาวะลีซีเรียน" (Resilience) หรือความสามารถในการรับมือและฟื้นตัวจากความเปลี่ยนแปลง

สังคมไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายอันยิ่งใหญ่จากการเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ ซึ่งนำมาซึ่งปัญหาเชิงโครงสร้างหลายประการ ปัญหา "ตายลำพัง" หรือ "โคโดกุชิ" เป็นหนึ่งในสัญญาณเตือนที่สำคัญ ควบคู่ไปกับปัญหาสุขภาพกายใจ ความเปราะบางทางเศรษฐกิจ และผลกระทบต่อโครงสร้างสังคมโดยรวม การรับมือกับสถานการณ์นี้ต้องการความร่วมมือแบบบูรณาการจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ชุมชน และสถาบันการศึกษา

การลงทุนในการดูแลผู้สูงวัยและการเตรียมความพร้อมสำหรับสังคมสูงวัยอย่างรอบด้านจึงเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วนสำหรับประเทศไทย

อ้างอิง

ธรรมศาสตร์1 / ธรรมศาสตร์2 / Hfocus / กินอยู่เป็น / TDRI / 

related