svasdssvasds

5 เรื่องพื้นฐานที่ควรรู้เกี่ยวกับกฎหมายสมรสเท่าเทียมในไทย

5 เรื่องพื้นฐานที่ควรรู้เกี่ยวกับกฎหมายสมรสเท่าเทียมในไทย

5 เรื่องสำคัญที่ทุกคนควรรู้เกี่ยวกับกฎหมายสมรสเท่าเทียม ก่อนเริ่มต้นชีวิตคู่ แต่งงานกันได้แล้ว แล้วไงต่อ?

SHORT CUT

  • กฎหมายสมรสเท่าเทียมเปิดโอกาสให้บุคคลทุกเพศสามารถหมั้นและจดทะเบียนสมรสได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยมีอายุขั้นต่ำที่ 18 ปีบริบูรณ์ . การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อมีการมอบของหมั้น และการสมรสจะสมบูรณ์เมื่อแสดงความยินยอมต่อหน้านายทะเบียน.
  • กฎหมายได้แก้ไขถ้อยคำจาก “สามี-ภริยา” เป็น “คู่สมรส” เพื่อให้ครอบคลุมความหลากหลายทางเพศและสร้างความเท่าเทียมในสิทธิและหน้าที่ของคู่สมรสทุกคู่ .
  • แม้ว่ากฎหมายสมรสเท่าเทียมจะมีผลบังคับใช้ แต่ยังมีความจำเป็นต้องแก้ไขกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายอาญาและกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เพื่อให้สอดคล้องและรับรองสิทธิของคู่สมรสทุกเพศอย่างแท้จริง 

 

5 เรื่องสำคัญที่ทุกคนควรรู้เกี่ยวกับกฎหมายสมรสเท่าเทียม ก่อนเริ่มต้นชีวิตคู่ แต่งงานกันได้แล้ว แล้วไงต่อ?

ในที่สุดประเทศไทยก็เดินหน้าอีกก้าวสู่ความเท่าเทียมอย่างแท้จริง กับ “กฎหมายสมรสเท่าเทียม” ที่เพิ่งผ่านและประกาศใช้ในปี 2568 นี้

กฎหมายฉบับนี้เปิดประตูให้คนทุกเพศ ทุกอัตลักษณ์ สามารถหมั้นและแต่งงานกันได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย มีสิทธิ หน้าที่ และสถานะครอบครัวไม่ต่างจากคู่รักทั่วไป ถือเป็นการตอบรับความจริงของสังคมในปัจจุบันที่คู่รักเพศหลากหลายมีอยู่จริงและใช้ชีวิตคู่ร่วมกันมานาน เพียงแต่ที่ผ่านมายังไม่มีการรับรองจากรัฐอย่างเป็นทางการ

บทความนี้จะพาไปดู 5 เรื่องพื้นฐานที่ควรรู้เกี่ยวกับกฎหมายสมรสเท่าเทียม แบบเข้าใจง่าย ๆ พร้อมข้อดีและข้อสังเกตของแต่ละเรื่อง จะได้รู้ว่า “แต่งงานกันได้แล้ว แล้วไงต่อ?” และทำไมเรื่องนี้ถึงสำคัญกับเราทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนรักเพศเดียวกันหรือไม่ก็ตาม

5 เรื่องพื้นฐานที่ควรรู้เกี่ยวกับกฎหมายสมรสเท่าเทียมในไทย

เรื่องที่ 1: สิทธิในการหมั้น

การหมั้นในกฎหมายไทยหมายถึงสัญญาว่าจะสมรสระหว่างชายกับหญิงเท่านั้น แต่กฎหมายสมรสเท่าเทียมได้แก้ไขให้ “บุคคลทั้งสองฝ่าย” ไม่จำกัดเพศสามารถหมั้นกันได้ หากมีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายผู้หมั้น (ผู้ให้ของหมั้น) มอบหรือโอนทรัพย์สินที่เป็น ของหมั้น ให้แก่ฝ่ายผู้รับหมั้น เพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกัน ของหมั้นนั้นตกเป็นสิทธิของฝ่ายผู้รับหมั้นทันที

หากฝ่ายผู้รับหมั้นผิดสัญญาไม่ยอมสมรสด้วย ฝ่ายผู้หมั้นมีสิทธิเรียกคืนของหมั้นตามกฎหมายลาภมิควรได้ นอกจากนี้ หากการหมั้นถูกยกเลิกเพราะฝ่ายใดผิดสัญญา ฝ่ายที่เสียหายสามารถฟ้องเรียกค่าทดแทนได้ เช่น ค่าทดแทนความเสียหายต่อชื่อเสียงหรือค่าใช้จ่ายที่เตรียมงานสมรสไปแล้ว โดยต้องเรียกภายใน 6 เดือนนับแต่รู้การผิดสัญญา (แต่ไม่เกิน 5 ปี) ทั้งนี้ หากคู่หมั้นคนใดคนหนึ่งเสียชีวิตก่อนแต่งงาน อีกฝ่ายจะเรียกร้องค่าทดแทนไม่ได้ และของหมั้นหรือสินสอดที่ให้ไว้ถือเป็นของฝ่ายที่รับไปตั้งแต่แรก (ไม่ต้องคืนเนื่องจากไม่ใช่ความผิดของฝ่ายใด)

ข้อดี: การเปิดให้คู่รักเพศหลากหลายหมั้นกันได้อย่างถูกกฎหมาย ช่วยให้คู่สมรสทุกเพศมีหลักประกันทางกฎหมายในขั้นตอนก่อนแต่งงาน เช่น หากถูกบอกเลิกสัญญาหมั้นอย่างไม่เป็นธรรม ก็สามารถเรียกร้องค่าชดเชยความเสียหายได้อย่างคู่ชายหญิง นับเป็นการคุ้มครองสิทธิของคู่หมั้นอย่างเท่าเทียม

เรื่องที่ 2: สิทธิในการจดทะเบียนสมรส

หัวใจของกฎหมายสมรสเท่าเทียมคือ สิทธิในการสมรสของบุคคลทุกเพศ ภายใต้เงื่อนไขเดียวกับคู่ชายหญิง โดยคู่สมรสต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ (กรณีอายุน้อยกว่านี้ ศาลอาจอนุญาตให้สมรสได้หากมีเหตุผลสมควร) การสมรสที่ชอบด้วยกฎหมายจะเกิดขึ้นเมื่อทั้งสองฝ่ายยินยอมเป็นคู่สมรสและแสดงความยินยอมนั้นต่อหน้านายทะเบียนเพื่อจดทะเบียนสมรสอย่างเปิดเผย (กรณีอยู่ในสถานการณ์พิเศษที่จดทะเบียนต่อหน้านายทะเบียนไม่ได้ เช่น เจ็บป่วยใกล้ตายหรืออยู่ในพื้นที่สงคราม กฎหมายก็เปิดช่องให้แสดงเจตนาสมรสต่อหน้าพยานและจดแจ้งไว้เป็นหลักฐาน และให้ไปจดทะเบียนให้เสร็จภายใน 90 วันเมื่อต้นเหตุหมดไป)

นอกจากนี้ ผู้ที่สมรสไม่ได้ ตามกฎหมายยังคงมีอยู่ ได้แก่ คนวิกลจริตหรือคนไร้ความสามารถ, ญาติสายโลหิตโดยตรง (พ่อแม่ลูก) รวมถึงพี่น้องร่วมบิดามารดาหรือพี่น้องร่วมสายเลือดเดียวกัน และผู้ที่ยังคงมีคู่สมรสเดิมอยู่ (ห้ามสมรสซ้อน) เงื่อนไขเหล่านี้เหมือนกับกฎหมายเดิมทุกประการ สิ่งที่เปลี่ยนไปคือคำว่า “คู่สมรส” ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะชายหญิงอีกต่อไป ทำให้คู่รักเพศเดียวกันสามารถจดทะเบียนสมรสและได้รับการรับรองตามกฎหมายเช่นเดียวกับคู่ต่างเพศ

ทั้งนีั้ กฎหมายยังคงยอมรับขนบธรรมเนียมเรื่อง “สินสอด” อยู่เช่นเดิม สินสอดหมายถึงทรัพย์สินที่ฝ่ายผู้หมั้น (มักเป็นฝ่ายเจ้าบ่าว) มอบให้แก่บิดามารดาหรือผู้ปกครองของฝ่ายผู้รับหมั้น (มักเป็นฝ่ายเจ้าสาว) เพื่อเป็นค่าตอบแทนที่ยินยอมให้สมรสกัน ในกรณีที่ไม่มีการสมรสภายหลังการหมั้น เพราะมีเหตุสำคัญอันเกิดจากฝ่ายผู้รับหมั้น (เช่น ฝ่ายผู้รับหมั้นประพฤติตนไม่สมควรจนอีกฝ่ายไม่อาจแต่งงานด้วย) ฝ่ายผู้หมั้นมีสิทธิเรียกคืนสินสอดได้เช่นกัน ทั้งนี้ “สินสอด” แตกต่างจาก “ของหมั้น” ตรงที่ของหมั้นเป็นทรัพย์ที่ให้แก่ตัวผู้รับหมั้น แต่สินสอดเป็นทรัพย์ที่ให้แก่พ่อแม่หรือผู้ปกครองของฝ่ายผู้รับหมั้น ซึ่งเป็นข้อตกลงทางสังคมมากกว่าข้อกฎหมาย (กฎหมายไม่ได้บังคับว่าต้องมีสินสอด แต่หากให้ไว้แล้วก็อยู่ภายใต้กฎหมายนี้)

ข้อดี: การจดทะเบียนสมรสภายใต้กฎหมายฉบับนี้ ทำให้คู่สมรสเพศเดียวกันได้รับสถานะทางกฎหมายเทียบเท่าคู่สมรสชายหญิง ทุกประการ เช่น สิทธิในการเป็นทายาทโดยธรรม, สิทธิในสวัสดิการคู่สมรส, การทำธุรกรรมแทนกันในบางกรณี และสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ที่กฎหมายมอบให้คู่สมรส ซึ่งเดิมคู่รักเพศหลากหลายไม่มี สิ่งนี้ช่วยสร้างความมั่นคงในชีวิตคู่และยอมรับสถานะของครอบครัวเพศหลากหลายในสังคมไทยอย่างเป็นทางการ

5 เรื่องพื้นฐานที่ควรรู้เกี่ยวกับกฎหมายสมรสเท่าเทียมในไทย

เรื่องที่ 3: สิทธิในการดูแลชีวิตคู่

เนื้อหา: เมื่อตกลงปลงใจสมรสกันแล้ว กฎหมายกำหนดให้คู่สมรสต้องอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาและช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูกันตามความสามารถและฐานะของตน ซึ่งหมายความว่าทั้งสองฝ่ายมีหน้าที่ดูแลความเป็นอยู่ซึ่งกันและกัน ไม่ทอดทิ้งกัน หากฝ่ายใดไม่ทำหน้าที่นี้ อีกฝ่ายสามารถฟ้องร้องให้ทำตามหน้าที่คู่สมรสได้ ในกรณีที่การอยู่ร่วมกันกลายเป็นเรื่องทุกข์ทรมานหรือเป็นอันตรายแก่กายหรือใจ (เช่น มีความรุนแรงในครอบครัว)

กฎหมายเปิดโอกาสให้คู่สมรสสามารถร้องต่อศาลเพื่อขอแยกกันอยู่ชั่วคราวได้ โดยศาลอาจกำหนดให้ฝ่ายหนึ่งจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูให้อีกฝ่ายในระหว่างแยกกันอยู่ด้วย เปรียบเสมือนเป็นการ “หย่าร้างชั่วคราว” เพื่อความปลอดภัยหรือสุขภาพจิตของคู่สมรสโดยยังไม่สิ้นสุดความเป็นสามีภริยา ขณะเดียวกัน หากศาลมีคำสั่งให้คู่สมรสฝ่ายใดเป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ โดยหลักการแล้วอีกฝ่ายย่อมเป็นผู้อนุบาลหรือผู้พิทักษ์โดยปริยาย เพื่อดูแลช่วยเหลือคู่สมรสที่ไร้ความสามารถนั้น แต่ถ้ามีเหตุพิเศษศาลอาจแต่งตั้งคนอื่นมาทำหน้าที่แทนได้ กฎหมายส่วนนี้ทำให้คู่สมรสเพศเดียวกันได้รับสิทธิดูแลกันและกันในยามเจ็บป่วยหรือไร้ความสามารถเช่นเดียวกับคู่ชายหญิง (เช่น การตัดสินใจด้านการรักษาพยาบาลหรือจัดการทรัพย์สินแทนกันเมื่ออีกฝ่ายไม่สมประกอบ)

ข้อดี: กฎหมายกำหนดบทบาทหน้าที่ของคู่สมรสไว้อย่างชัดเจนเพื่อ ประกันว่าคู่สมรสทุกคู่จะได้รับการดูแลและสนับสนุนจากกันและกัน การให้สิทธิแก่คู่สมรสเพศเดียวกันในการเป็นผู้อนุบาลหรือผู้พิทักษ์อีกฝ่ายเมื่อป่วยหรือไร้ความสามารถถือเป็นผลดี เพราะช่วยรับรองว่าคู่ชีวิตจะสามารถดูแลปกป้องกันได้ตามกฎหมายโดยไม่มีอุปสรรคด้านสถานะทางกฎหมาย เช่น แต่ก่อนคู่รักเพศเดียวกันอาจไม่สามารถตัดสินใจแทนกันในเรื่องการแพทย์ได้ แต่เมื่อสมรสกันถูกต้องแล้วก็ทำได้

เรื่องที่ 4: สิทธิในการจัดการทรัพย์สิน คู่ LGBTQ

เมื่อจดทะเบียนสมรสแล้ว กฎหมายระบุเรื่องทรัพย์สินระหว่างคู่สมรสไว้อย่างละเอียด โดยหากคู่สมรส ไม่ได้ทำสัญญาก่อนสมรส (สัญญาก่อนสมรสคือข้อตกลงเรื่องทรัพย์สินหรือที่เรียกว่าการทำ “ทะเบียนสมรสข้อสัญญา” หรือ prenup) ทรัพย์สินของทั้งสองจะแบ่งเป็น “สินส่วนตัว” และ “สินสมรส” ตามหลักเกณฑ์กฎหมาย เช่น ทรัพย์สินที่มีมาก่อนแต่งงานและของใช้ส่วนตัวตามฐานะจะนับเป็นสินส่วนตัว ขณะที่ทรัพย์สินที่หามาได้ระหว่างสมรส (ยกเว้นได้รับเป็นมรดกหรือของให้โดยเสน่หาเฉพาะตัว) จะถือเป็นสินสมรส รวมถึงผลประโยชน์ที่เกิดจากสินส่วนตัวก็เป็นสินสมรสด้วย ถ้ามีข้อสงสัยว่าทรัพย์สินใดเป็นสินสมรสหรือไม่ กฎหมายให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นสินสมรสเพื่อคุ้มครองสิทธิของทั้งสองฝ่าย การไม่มีสัญญาก่อนสมรสจึงเท่ากับยอมรับให้บังคับตามเกณฑ์เหล่านี้ โดยคู่สมรสสามารถตกลงแบ่งทรัพย์สินกันเองก่อนได้ในสัญญาก่อนสมรสหากต้องการเงื่อนไขที่ต่างออกไป

ในการจัดการทรัพย์สินร่วมกัน คู่สมรสมีสิทธิเท่าเทียมกันในสินสมรส และกฎหมายกำหนดว่าการทำธุรกรรมบางอย่างเกี่ยวกับสินสมรสต้องได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายก่อน (เป็นลายลักษณ์อักษร) เช่น การขายหรือจำนองอสังหาริมทรัพย์ของคู่สมรส, การให้ของขวัญที่มีมูลค่าสูง, การกู้ยืมเงินจำนวนมาก, การค้ำประกันหนี้, หรือการทำสัญญาที่มีผลผูกพันในทรัพย์สินส่วนรวม เป็นต้น กฎนี้มีไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจัดการทรัพย์สินที่เป็นของคู่สมรสโดยพลการจนกระทบสิทธิของอีกฝ่าย หากฝ่ายหนึ่งฝ่าฝืนทำให้สินสมรสเสียหายอย่างมาก อีกฝ่ายสามารถยื่นศาลขอให้มีคำสั่งระงับหรือจำกัดการจัดการทรัพย์สินของคู่สมรสคนนั้นได้ นอกจากนี้ ถ้าคู่สมรสฝ่ายที่มีอำนาจจัดการทรัพย์สินทำผิดหน้าที่ร้ายแรง (เช่น ฟุ่มเฟือยเกินตัว ไม่เลี้ยงดูครอบครัว ปล่อยให้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ฯลฯ) อีกฝ่ายยังสามารถร้องขอต่อศาลให้สั่งแบ่งแยกสินสมรสหรือให้ตนเป็นผู้จัดการสินสมรสแต่เพียงผู้เดียวได้ด้วย

ในส่วนของ หนี้สิน กฎหมายระบุหลักการว่า หนี้ส่วนตัว ของใคร ก็ให้ใช้ สินส่วนตัว ของคนนั้นชำระก่อน หากไม่พอจึงจะใช้ส่วนที่เป็นสินสมรสของตนเองช่วยได้ ส่วน หนี้ร่วม ของคู่สมรส ให้ชำระจากสินสมรสก่อน และถ้าไม่พอก็ให้รับผิดชอบร่วมกันตามส่วนสินส่วนตัวของแต่ละคน หนี้ที่ถือเป็นหนี้ร่วมโดยปริยาย ได้แก่ หนี้ที่คู่สมรสก่อเพื่อจัดการบ้านเรือนหรือจัดหาสิ่งจำเป็นในครอบครัว, ค่าเลี้ยงดูรักษาพยาบาลบุคคลในครอบครัว, การศึกษาบุตรตามสมควรแก่อัตภาพ, หนี้ที่เกี่ยวกับการจัดการหรือบำรุงรักษาทรัพย์สินร่วม, หนี้จากการประกอบอาชีพที่ทำร่วมกัน, และหนี้ที่อีกฝ่ายลงชื่อยอมรับรองว่าเป็นหนี้ที่ก่อเพื่อประโยชน์ของอีกฝ่าย กล่าวอย่างง่ายคือ หนี้ใดที่เกิดขึ้นเพื่อชีวิตคู่หรือครอบครัว ย่อมเป็นความรับผิดชอบร่วมของทั้งสองคน แต่หนี้ส่วนตัวนอกเหนือจากนั้น ใครก่อก็ต้องรับผิดหลักก่อนด้วยทรัพย์สินตัวเอง

ข้อดี: บทบัญญัติเรื่องทรัพย์สินและหนี้สินนี้ ทำให้คู่สมรสเพศหลากหลายได้รับความคุ้มครองทางเศรษฐกิจไม่ต่างจากคู่สมรสชายหญิง ทั้งในแง่สิทธิในทรัพย์สินที่หามาด้วยกันและความรับผิดชอบในหนี้สินร่วมกัน ถือเป็นความยุติธรรมที่ทั้งสองฝ่ายจะร่วมใช้ร่วมเก็บทรัพย์สินที่หามาด้วยความพยายามร่วมกัน และต่างฝ่ายต่างได้รับการปกป้องไม่ให้เสียเปรียบหากอีกฝ่ายพยายามจัดการทรัพย์สินโดยพลการ นอกจากนี้ เมื่อคู่สมรสเพศเดียวกันมีสถานะถูกต้องตามกฎหมาย พวกเขาก็สามารถวางแผนการเงินร่วมกันระยะยาวได้มั่นใจขึ้น เช่น ซื้อบ้านร่วมกันอย่างสบายใจว่าชื่อตนจะอยู่ในโฉนดร่วมได้ตามกฎหมาย หรือกรณีเสียชีวิตก็มั่นใจได้ว่าทรัพย์สินจะถูกจัดการและตกทอดอย่างเป็นธรรมตามกฎหมายมรดกของคู่สมรส

5 เรื่องพื้นฐานที่ควรรู้เกี่ยวกับกฎหมายสมรสเท่าเทียมในไทย

เรื่องที่ 5: สิทธิในการหย่าร้าง

เมื่อชีวิตคู่ดำเนินไป คู่สมรสบางคู่อาจไปด้วยกันไม่ได้ กฎหมายสมรสเท่าเทียมเปิดทางให้ หย่าร้างได้ทั้งโดยความยินยอมและโดยคำพิพากษาของศาล เช่นเดียวกับคู่สมรสชายหญิงทุกประการ หากตกลงใจกันทั้งสองฝ่ายที่จะเลิกกัน หย่าโดยความยินยอม ก็ทำได้โดยการจดทะเบียนหย่าพร้อมทำหนังสือข้อตกลงเรื่องสำคัญไว้ ได้แก่ การกำหนดว่าใครจะเป็นผู้ปกครองบุตรหลังหย่า และใครจะเป็นผู้ออกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร (พร้อมระบุจำนวนเงินหรือวิธีจ่ายให้ชัดเจน) ถ้าตกลงเรื่องลูกกันไม่ได้ ให้ศาลเป็นผู้ตัดสินชี้ขาดให้อีกทีหนึ่ง ทั้งนี้การหย่าจะสมบูรณ์มีผลตามกฎหมายก็ต่อเมื่อมีการ จดทะเบียนหย่า ต่อหน้านายทะเบียนเช่นเดียวกับการจดทะเบียนสมรส ดังนั้นการแยกกันอยู่เฉย ๆ ไม่ถือว่าหย่าขาด เว้นแต่จะไปจดทะเบียนหย่าหรือฟ้องหย่าให้สิ้นสุดความเป็นคู่สมรส

กรณีที่ต้อง หย่าโดยคำสั่งศาล (ฟ้องหย่า) เพราะอีกฝ่ายไม่ยินยอม หรือมีเหตุร้ายแรงฝ่ายเดียวต้องการหย่า กฎหมายกำหนด เหตุฟ้องหย่า ไว้หลายข้อ (ซึ่งส่วนใหญ่ยกมาจากกฎหมายเดิม) อาทิ

  1.  การนอกใจหรือมีชู้ – เช่น ไปมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับบุคคลอื่น ไม่ว่าจะเป็นเพศใดก็ตาม ถือเป็นความผิดร้ายแรงที่อีกฝ่ายใช้เป็นเหตุฟ้องหย่าได้ และยังเรียกค่าทดแทนจากทั้งคู่สมรสที่นอกใจและบุคคลที่มาเป็นชู้ด้วยได้ด้วย (เว้นแต่ฝ่ายผู้ถูกนอกใจจะยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจกับการกระทำนั้น ก็ฟ้องหย่าไม่ได้)
  2. การประพฤติชั่วของคู่สมรส จนอีกฝ่ายได้รับความอับอายหรือเดือดร้อนอย่างร้ายแรง
  3. การทำร้ายร่างกายหรือจิตใจอีกฝ่ายหรือบุพการีของอีกฝ่ายอย่างร้ายแรง
  4. การทอดทิ้งร้าง เช่น หายไปเกิน 1 ปีโดยไม่มีการติดต่อหรือถูกศาลสั่งให้แยกกันอยู่เกิน 3 ปี
  5. ถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญ หรือหายตัวไปจากภูมิลำเนาเกิน 3 ปีโดยไม่ทราบเป็นหรือตาย
  6. ไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะอีกฝ่ายตามสมควร หรือเป็นปฏิปักษ์ต่อการครองชีวิตคู่จนทนอยู่ร่วมกันไม่ได้
  7. วิกลจริตเกิน 3 ปีโดยไม่มีทางรักษาหาย และอาการหนักจนอยู่ร่วมกันต่อไปไม่ได้,
  8. ผิดคำมั่นสัญญาเรื่องความประพฤติ ที่เคยทำไว้เป็นลายลักษณ์อักษร (เช่น เคยทำสัญญาว่าจะเลิกสุราแต่กลับผิดสัญญา) 
  9. เป็นโรคติดต่อร้ายแรง ซึ่งอาจเป็นอันตรายแก่คู่สมรสและรักษาไม่หาย เป็นต้น หากเหตุการณ์ใดตรงกับหลักเกณฑ์เหล่านี้ ฝ่ายผู้เสียหายสามารถฟ้องหย่าอีกฝ่ายได้ และเมื่อศาลพิจารณาให้หย่าแล้ว ฝ่ายผู้เสียหาย (ผู้ไม่ได้ผิดเอง) มีสิทธิเรียกค่าทดแทนความเสียหายจากคู่สมรสที่กระทำผิด รวมถึงเรียกจากบุคคลที่เป็นต้นเหตุ เช่น ชู้หรือผู้ที่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับคู่สมรสจนเป็นเหตุให้ต้องหย่าได้ด้วย (เพื่อชดเชยความเสียหายที่เกิดจากการกระทำของบุคคลเหล่านั้น)

การหย่าร้างที่ถูกต้องตามกฎหมาย ช่วยเปิดทางออกให้คู่สมรสทุกเพศที่ไปกันไม่ได้สามารถยุติความสัมพันธ์ได้อย่างเป็นธรรม และปลอดภัย ทั้งยังมีกลไกคุ้มครองฝ่ายที่เสียหาย เช่น สิทธิในการเรียกค่าทดแทนเมื่อถูกนอกใจหรือถูกกระทำไม่ดี ซึ่งแต่ก่อนคู่รักเพศเดียวกันไม่มีสิทธิตรงนี้ หากเลิกรากันก็ทำอะไรไม่ได้ แต่ปัจจุบันหากสมรสถูกต้อง ฝ่ายที่ถูกทำร้ายหรือนอกใจสามารถพึ่งพาศาลให้ช่วยเหลือและเยียวยาได้ นอกจากนี้ การหย่าตามกฎหมายยังเป็นประโยชน์ต่อการแบ่งทรัพย์สินและหนี้สินหลังเลิกกัน รวมถึงจัดการเรื่องสิทธิเลี้ยงดูบุตร (หากมีบุตรร่วมกันหรือบุตรบุญธรรม) อย่างเป็นระบบ เกิดความชัดเจนและยุติธรรมกับทุกฝ่าย

5 เรื่องพื้นฐานที่ควรรู้เกี่ยวกับกฎหมายสมรสเท่าเทียมในไทย

กฎหมายสมรสเท่าเทียมในประเทศไทยฉบับนี้นับเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้ทุกคู่รักไม่ว่าจะมีเพศสภาพใดได้รับ สิทธิและหน้าที่เท่าเทียมกันภายใต้กฎหมาย สถาบันครอบครัวเพศหลากหลายได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการ ซึ่งจะส่งผลให้คุณภาพชีวิตของผู้คนดีขึ้นและเกิดความเท่าเทียมในสังคมมากขึ้น อย่างไรก็ตาม คู่สมรสทุกคู่ก็ควรเรียนรู้และเข้าใจสิทธิหน้าที่ตามกฎหมายเหล่านี้ เพื่อจะได้ใช้ชีวิตคู่ร่วมกันอย่างราบรื่นและรู้วิธีแก้ปัญหาเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันตามที่กฎหมายได้กำหนดแนวทางไว้

ที่มา : justicechannel

ข่าวที่เกี่ยวข้อง 

 

related