ปัจจุบัน มีรายการ Hard Talk หลายรายการที่แม้จะได้รับความนิยม แต่ก็ถูกตั้งคำถามในแวดวงวิชาการว่า ทำบางเรื่องเกินกว่าหน้าที่ความเป็น 'สื่อสารมวลชน' หรือไม่
“ทำแบบนี้ ..ได้ไปออกรายการ XXX แน่”
หลายปีหลัง รายการสัมภาษณ์ประเภท Hard Talk ชื่อดังในโทรทัศน์และออนไลน์ไทยหลายรายการ มักจะถูกใช้เป็น ‘เวที’ ในการชวนผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายในเรื่องราวความขัดแย้งที่กำลังเป็นกระแสในสังคม ณ เวลานั้น มาพูดคุยชี้แจงข้อเท็จจริง ตกลงทำความเข้าใจ หาข้อสรุป หรือกระทั่งหาวิธีแก้ไขปัญหา
สังเกตได้จากการถูก tag ชื่อรายการ หรือโดนพาดพิงถึง เมื่อมีดราม่าไวรัลต่าง ๆ บนโลกออนไลน์
หลายเรื่องเกี่ยวข้องกับคดีความ จนถูกมองว่า เป็นเพราะคนไม่เชื่อใจกระบวนการยุติธรรม ถึงต้องมาหาทางออกกันบน ‘หน้าจอ’ แทนที่จะเป็นบนสถานีตำรวจหรือในชั้นศาล
แต่ถึงจะได้รับความเชื่อถือและสร้าง impact ได้จริง ในอีกด้านหนึ่ง รายการเหล่านั้นบางรายการก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า การตั้งคำถามมีลักษณะตั้งธงหรือชี้นำ, ด่วนตัดสินผู้มาร่วมรายการ ไปจนถึงเล่นบทบาทที่ ‘เกินเส้น’ ความเป็นสื่อสารมวลชนหรือไม่
เพื่อหาคำตอบต่อคำถามดังกล่าว เราอยากชวนทุกคนลองถอยออกมาเล็กน้อย เพื่อจะได้เห็นภาพที่กว้างและชัดขึ้นว่า แล้วสังคมไทยคาดหวังอะไรจากรายการ Hard Talk เหล่านั้น – และสิ่งที่ทุกคนหวัง ใช่บทบาทของผู้ประกอบวิชาชีพ ‘สื่อฯ’ หรือไม่
ทั้ง
..เป็นรายการสัมภาษณ์ที่เน้นนำเสนอข้อเท็จจริง อย่างรอบด้าน ไม่มีอคติ?
..เป็นศาลจำลองเพื่อเพรียกหาความยุติธรรม ให้กับผู้สูญเสีย?
..เป็นเวทีเปิดโปง เหล่าผู้วิเศษหรือวิญญูชนจอมปลอม?
..เป็นสถานที่โต้วาที ให้ผู้เกี่ยวข้องมาปะทะคารม?
..เป็นโรงมหรสพที่มาแสดงโชว์เพื่อความบันเทิง?
หรือเป็นหลายอย่างข้างต้นผสมกัน
การพูดคุยเรื่อง ‘บทบาท’ มีความสำคัญ เพราะจะไปกำหนด ‘ภาระ-หน้าที่’ จนถึง ‘ความคาดหวัง’ ของผู้ชมและสังคมด้วย
ว่าสังคมไทย คาดหวังอะไรจากรายการ Hard Talk เหล่านั้น
แบบไหนถึงเรียก Hard Talk
ก่อนจะไปพูดคุยกันว่า สังคมไทยคาดหวังอะไร..อยากชวนมาทำความเข้าใจเรื่องนิยามกันก่อนว่า อะไรบ้างที่เข้าข่ายเป็น ‘รายการสัมภาษณ์ Hard Talk’ ?
และมันต่างกับ ‘รายการสัมภาษณ์ทั่ว ๆ ไป’ อย่างไร
แน่นอนว่า รายการประเภทนี้อยู่ภายใต้ร่มการเป็นรายการ Talk Show (โชว์ที่มีเนื้อหาว่าด้วยการสัมภาษณ์หรือสนทนา) ที่มีพัฒนาการร่วมกับสื่อโทรทัศน์ ด้วยรูปแบบการดำเนินรายการพื้นฐานอันเรียบง่าย คือมีพิธีกรมานั่งสัมภาษณ์แขกรับเชิญในประเด็นต่าง ๆ
เบอร์นาร์ด เอ็ม ทิมเบิร์ก และโรเบิร์ต เจ แอร์เลอร์ เคยร่วมกันเขียนถึงประวัติศาสตร์รายการ Talk Show ที่แม้จะเน้นเฉพาะที่ออนแอร์ในสหรัฐอเมริกาแต่ก็พอทำให้เห็นภาพรวมพัฒนาการของรายการประเภทนี้ในระดับนานาชาติได้ ผ่านหนังสือ Television Talk: A History of the TV Talk Show ที่วางขายในปี ค.ศ.2002/พ.ศ.2545 โดยแบ่งพัฒนาการของรายการ talk show ออกเป็น 5 ยุค อิงจากเทคโนโลยีการแพร่ภาพกระจายเสียง, รูปแบบการผลิตรายการ เช่น รายการสดหรืออัดเทปไว้ล่วงหน้า, การถูกกำกับควบคุมโดยรัฐหรือโดยคนในองค์กรเอง และประเภทของเนื้อหา จะเน้นบันเทิงหรือสาระความรู้ โดยระบุว่า Talk Show ที่นำประเด็นข่าวสารบ้านเมืองมาพูดคุยอย่างเข้มข้น หรือ Hard Talk เริ่มได้รับความนิยมตั้งแต่ยุคหกศูนย์ ก่อนจะเติบโตอย่างต่อเนื่องจนเฟื่องฟูสุด ๆ ในยุคเก้าศูนย์
หนึ่งในรายการ Hard Talk ที่มีชื่อเสียงระดับโลก คือรายการ HARDtalk ของสำนักข่าวบีบีซีของอังกฤษ ที่เริ่มออนแอร์ในปี ค.ศ.1997/พ.ศ.2540 โดยสตีเฟ่น ซัคเกอร์ ผู้ดำเนินรายการเคยให้นิยามรายการสัมภาษณ์ประเภท Hard Talk ไว้ว่า มันคือรายการที่ผู้คนมานั่งจับเข่าคุยกันในประเด็นที่ซีเรียสและลงลึก ขณะที่แครี่ คลาร์ก บรรณาธิการรายการเดียวกัน ก็เสริมว่า “เราจะคิดอยู่ในใจเสมอว่าผู้ชมต้องการอะไร พวกเขาคาดหวังให้เราถามคำถามยาก ๆ ในโลกที่เต็มไปด้วยข้อมูลเท็จและการคาดเดา นี่คือรายการที่จะคอยตรวจสอบผู้มีอำนาจและเจาะลึกถึงประเด็นต่าง ๆ ที่สำคัญ”
สำหรับประเทศไทย มีงานวิจัยที่พยายามให้นิยามของรายการ Hard Talk หรือ ‘คุยข่าว’ ไว้หลายรูปแบบ เช่น
“เป็นรายการสนทนาเชิงสาระ ที่มุ่งนำเสนอข้อเท็จจริง ไขข้อสงสัย วิเคราะห์ วิพากษ์ ให้ความรู้เกี่ยวกับปรากฏการณ์ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคม ทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง โดยรายการสนทนาเชิงสาระเหล่านี้มักอาศัยความสามารถของพิธีกรในการล้วงคำตอบจากผู้ร่วมรายการเป็นหลัก”
---วิทยานิพนธ์ รูปแบบและลีลาการสัมภาษณ์ของพิธีกรรายการประเภทสนทนาเชิงสาระทางโทรทัศน์ โดยจิตต์สุขุม พวงเพชร (ปี พ.ศ.2548)
“เป็นรายการสนทนาหรือเสวนาข่าว ที่มีองค์ประกอบสำคัญคือผู้ดำเนินรายการ ..ประเด็นที่นำมาพูดคุยมักเป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจ ผู้คนอยากรู้อยากหาคำตอบไม่ว่าจะเป็นทั้งในโซเชียลมีเดียหรือตามสื่อต่าง ๆ ดังนั้นการนำเสนอจะต้องเป็นการเจาะลึกหาคำตอบให้ได้มากกว่าข้อมูลที่ผู้คนในสังคมรู้อยู่แล้ว
---วิทยานิพนธ์ ทัศนคติของผู้ชมที่มีต่อรายการคุยข่าวเพื่อสร้างกลยุทธ์การทำรายการ โดยทินณภพ พันธะนาม (ปี พ.ศ.2561)
พอจะเห็นภาพชัดขึ้นหรือยังว่า รายการ Hard Talk มีองค์ประกอบอย่างไรบ้าง
โดยปัจจัยสำคัญที่จะทำให้รายการนั้นได้รับความนิยมหรือไม่ นอกเหนือจากตัวประเด็นและแขกรับเชิญ ก็คือลีลาและความสามารถของ ‘พิธีกร’
Hard Talk แบบ ‘ไทย ๆ’
สำหรับประเทศไทย รายการ Hard Talk มีมานานหลายสิบปีแล้ว แต่ที่มักได้รับการพูดในยุคหลังคือรายการ ‘คมชัดลึก’ ที่ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์เนชั่นทีวี ระหว่างปี พ.ศ.2543-2546 ที่มีสรยุทธ สุทัศนะจินดาเป็นผู้ดำเนินรายการ ซึ่งต่อมาสรยุทธได้ย้ายไปทำรายการลักษณะเดียวกันชื่อ ‘ถึงลูกถึงคน’ ในสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ทีวี หรือช่อง 9 อสมท. ระหว่างปี พ.ศ.2546-2549
ก่อนจะมีรายการลักษณะคล้ายกันปรากฎขึ้นมาอีกมากมาย โดยเฉพาะในยุคที่เปลี่ยนจาก ‘ทีวีแอนะล็อก’ ที่มีสถานีโทรทัศน์ระดับชาติเพียง 6 ช่อง ไปสู่ ‘ทีวีดิจิทัล’ ที่มีสถานีโทรทัศน์ระดับชาติถึง 24 ช่อง เมื่อปี พ.ศ.2557
ไม่รวมถึงการเกิดขึ้นของสำนักข่าวออนไลน์ ช่วงหลายปีหลัง
ความนิยมในรายการ Hard Talk ของผู้ชมไทย ทำให้สมาพันธ์สมาคมวิชาชีพวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ ผู้จัดงานประกาศรางวัลนาฎราช หนึ่งในรางวัลใหญ่ที่สุดของคนวงการโทรทัศน์ถึงขั้นมีการเปรียบเทียบกับรางวัล Emmy Awards ของสหรัฐฯ เพิ่มการประกาศรางวัลสาขา ‘รายการฮาร์ดทอล์กยอดเยี่ยม’ มาในปี พ.ศ.2560 เป็นปีแรก
และจนถึงปี พ.ศ.2567 มีรายการ Hard Talk เข้าชิงรางวัลดังกล่าวถึง 15 รายการ โดยรายการที่ได้รับรางวัล มีดังนี้
ทั้งนี้ แม้รูปแบบทั่วไปรายการ Hard Talk ของไทยจะไม่ต่างจากสากล แต่ก็มีเอกลักษณ์เฉพาะ โดยเฉพาะวิธีดำเนินรายการของ ‘พิธีกร’ ที่จะเป็นตัวชี้เป็นชี้ตายว่า รายการนั้น ๆ จะได้รับความนิยมหรือไม่
ในงานวิจัยเรื่อง คุณลักษณะและเทคนิคการสัมภาษณ์ของพิธีกรรายการประเภทฮาร์ดทอล์กของไทย ของวัชรินทร์ ทินโชติ เผยแพร่ปี พ.ศ.2566 ระบุถึงความสำคัญของพิธีกรรายการ Hard Talk ของไทย ไว้ดังนี้
“ลักษณะของรายการประเภทฮาร์ดทอล์กของไทยมีเนื้อหาที่แตกต่างจากรายการฮาร์ดทอล์กต่างประเทศอย่างชัดเจน ทั้งเรื่องเนื้อหาที่รายการฮาร์ดทอล์กต่างประเทศจะมีความจริงจัง สัมภาษณ์แบบเจาะลึก ตรงประเด็น ตรงไปตรงมา ขณะที่รายการฮาร์ดทอล์กของไทย จะมีการพยายามสร้างความสมดุลระหว่าง ‘ความเป็นสาระ’ และ ‘ความบันเทิง’ กล่าวคือการสร้างสาระ มาจากการสัมภาษณ์แขกรับเชิญในประเด็นนั้น ๆ การเชื่อมโยงไปสู่ข้อกฎหมายหรือการนำเส้นทาง ประเด็นสู่โครงสร้างทางสังคม ส่วนการสร้างความบันเทิงมาจากการทำให้รายการมีสีสัน ไม่ตึงเครียด จนเกินไป ผู้ชมสามารถสนุกไปกับการติดตามประเด็นได้
“ปัจจัยสำคัญในการสร้างความน่าสนใจให้รายการ คือ ‘พิธีกร’ จะต้องมีคุณลักษณะและเทคนิคการสัมภาษณ์ดังที่กล่าวไปในผลการวิจัย เช่น การสร้างบรรยากาศผ่อนคลายด้วยการใช้คำพูดไม่เป็นทางการหรือเสียงไม่เป็นทางการ เพื่อทำให้เกิดการ เร้าอารมณ์ทั้งแขกรับเชิญและผู้ชม อีกทั้งต้องสร้างประเด็นให้มีดูเป็นเรื่องที่เรียกร้องความสนใจ (dramatize) เพื่อกระตุ้นการเรตติ้งให้รายการและสถานีนั้น ๆ สามารถดำเนินธุรกิจไปต่อได้ในอุตสาหกรรมโทรทัศน์”
วัชรินทร์ยังระบุว่า เนื้อหาในรายการ Hard Talk ที่นำมาวิเคราะห์ (ศึกษา 3 รายการดัง ได้แก่ถามตรง ๆ กับจอมขวัญ, ถกไม่เถียง และโหนกระแส) ส่วนใหญ่มักเป็นการร้องเรียนเพื่อความเป็นธรรม โดยมักมีการชวนผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ เช่น ทนายความ มาทำหน้าที่เสมือนเป็นผู้ช่วยพิธีกรในการถามคำถาม ในขณะที่บุคลิกของพิธีกรหลัก ถูกปรับจาก ‘เป็นคนดี-เป็นกลาง’ ไปเป็น ‘กล้าถาม-เป็นธรรม’ แทน โดยเทคนิคในการถามของพิธีกรจะเปลี่ยนไปตามความต้องการของผู้ชม ซึ่งบางครั้งจะมีการถามในเชิงสรุป หรือชี้นำ
เป็นเอกลักษณ์ของรายการ Hard Talk แบบไทย ๆ
การเป็นสื่อฯ ทำได้แค่ไหน
การที่อยู่ในอุตสาหกรรมโทรทัศน์ ซึ่งถูกวัดความสำเร็จด้วย ‘เรตติ้ง’ ตลอดเวลา รายการ Hard Talk ต่าง ๆ จึงพยายามปรับปรุงรูปแบบรายการเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ชมเพื่อให้ได้ความนิยมสูง ๆ จนบางครั้งก็ถูกตั้งคำถามว่า ยังอยู่ในบทบาทการเป็นสื่อฯ ที่ดีหรือไม่
รายการที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักคือ ‘โหนกระแส’ ของช่อง 3 ที่มี หนุ่ม-ภูดิท (ชื่อเดิมกรรชัย) กำเนิดพลอย เป็นผู้ดำเนินรายการ ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นรายการ Hard Talk อันดับหนึ่ง ณ เวลานี้
ต้นปี พ.ศ.2568 เขานำเสนอข่าวเรื่องราวความสัมพันธ์เชิงชู้สาวของดารานักร้องชายรายหนึ่ง (โตโน่-ภาคิน คำวิลัยศักดิ์) อย่างต่อเนื่อง จนถูกวิจารณ์ว่าทำแต่เรื่อง ‘ผัว ๆ เมีย ๆ’ กระทั่งต้องออกชี้แจงว่า ตัวเองไม่ใช่ซูเปอร์แมน ต้องเรียนรู้หลายเรื่อง ทั้งกฎหมาย การแพทย์ สิทธิเด็ก และเคยทำเรื่องราวของผู้มีอิทธิพล ตำรวจและทหารที่มีพฤติกรรมไม่ดี เสี่ยงมือเสี่ยงเท้า จนบางครั้งหาความปลอดภัยแทบไม่เจอ แต่กลับถูกวิจารณ์ว่าทำแต่เรื่องผัวเมีย
“บางเรื่องที่ผมไม่ได้ทำ ไม่ใช่เพราะไม่อยากทำ แต่บางครั้งผมไม่ถนัดและผมไม่มีความรู้ทางด้านนั้นเพียงพอ ซึ่งการนำเสนอของหลายช่อง หลายรายการดีกว่าผมเยอะมาก ผมจึงเกรงว่าถ้าผมทำจะกลายเป็นไปชักใบให้เรือเสียเปล่า ๆ”
ก่อนหน้านี้ ในปี พ.ศ.2567 รายการ ‘โหนกระแส’ เคยถูกคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ลงโทษระงับการออกอากาศ 1 วัน กรณีนำเสนอเนื้อหาในลักษณะที่จะสร้างความเกลียดชังระหว่างคนในสังคม เปิดโอกาสให้แหล่งข่าวกล่าวร้ายหรือพาดพิงบุคคลอื่น ในลักษณะยั่วยุ บริภาษ ด้วยการใช้ภาษาหยาบคาย รุนแรง ดูถูก เหยียดยามบุคคลอื่นในเชิงลดคุณค่า
มีข้อมูลว่า ระหว่างปี พ.ศ.2565-2567 รายการ Hard Talk ดังรายการนี้ ติดหนึ่งในห้ารายการโทรทัศน์ที่ถูกร้องเรียนต่อ กสทช. มากที่สุด
ในอดีต หนุ่ม-กรรชัย เคยให้สัมภาษณ์ไว้หลายครั้งถึงบทบาทที่เขาอยากจะเป็น พร้อมชี้แจงถึงสารพัดเสียงวิจารณ์ ทั้งการเป็นศาลเตี้ย, ทำตัวเป็นคนกลาง ไม่ใช่สื่อกลาง ไปจนถึงการเป็นผู้มีอิทธิพล
สิ่งที่คนไทยควรคาดหวังจากรายการ Hard Talk
ที่ผ่านมา รายการสัมภาษณ์ประเภท Hard Talk จะถูกหยิบมาพูดคุยถกเถียงในแวดวงวิชาการเสมอว่า ถือเป็นรายการข่าวหรือไม่ เพราะเนื้อหาบางเทปก็ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เป็นประเด็นข่าว หรืออาจมีการนำเสนอเนื้อหาที่สุ่มเสี่ยงต่อจริยธรรม จนถูกร้องเรียนและตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อยู่บ่อยครั้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่หน่วยงานกำกับดูแล เช่น กสทช. อาจจะต้องปวดหัวต่อไป
ในสภาพสังคมที่บิดเบี้ยว กลไกต่าง ๆ ของภาครัฐไม่ทำงาน กระบวนการยุติธรรมไม่ตอบโจทย์ ผู้ถือกฎหมายบางคนกลายเป็นอาชญากรเสียเอง เมื่อเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา แทนที่คนจะหันไปพึ่งพากลไกแก้ปัญหาที่มีอยู่แล้ว กลับพุ่งเข้ามาหาสื่อฯ ให้ทำหน้าที่อันหลากหลาย ไม่เพียงนำเสนอข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง ครบถ้วน และรอบด้านเท่านั้น
ไม่แปลกที่รายการ Hard Talk ดังหลายรายการจะถูกเรียกหา ในเมื่อไปออกรายการนี้แล้ว เสียงของฉันจะดังขึ้น ปัญหาจะถูกใส่ใจจากผู้มีหน้าที่ หรือกระทั่งถูกแก้ไขอย่างฉับพลันทันใด
แต่เรา-ในฐานะประชาชน ก็ควรกลับมาตั้งคำถามและทบทวนอยู่เสมอว่า แล้วสื่อฯ ควรจะมี ‘เส้น’ อะไรที่ไม่ควรข้าม เพื่อให้ยังสามารถทำ ‘หน้าที่’ ได้อย่างเหมาะสม ยังสามารถเป็นกระบอกเสียงและช่วยเหลือผู้คนได้ โดยที่ไม่กลายไปเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาเสียเอง