สถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปฏิบัติการทางทหารระหว่าง อิสราเอลและอิหร่าน ที่มีการใช้ขีปนาวุธ จนสร้างความเสียหายแก่ทั้งสองฝ่าย
จากสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปฏิบัติการทางทหารระหว่าง "อิสราเอล" และ "อิหร่าน" ที่มีการใช้ขีปนาวุธ จนสร้างความเสียหายแก่ทั้งสองฝ่าย
ความขัดแย้งระหว่าง อิสราเอล-อิหร่าน มีอิทธิพลต่อภูมิภาคตะวันออกกลางมาหลายทศวรรษ แต่ความขัดแย้งส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในระดับที่ไม่รุนแรงมาก เพื่อหลีกเลี่ยงการก่อสงครามแบบเต็มตัว
แต่การสู้รบระหว่างสองฝ่ายได้ทวีความรุนแรงขึ้นหลังจากสงครามระหว่างอิสราเอล และกลุ่มฮามาสของปาเลสไตน์ซึ่งมีอิหร่านคอยหนุนหลัง ปะทุขึ้นในเดือนตุลาคม 2023 ตั้งแต่นั้นมา ทั้งสองประเทศได้เริ่มยิงตอบโต้กันเป็นครั้งคราวโดยใช้ขีปนาวุธและโดรน
ปัจจุบันมีความเป็นไปได้สูงว่าอาจเกิดการเริ่มทำสงครามอย่างจริงจัง หลังจากหลายฝ่ายเริ่มกลับไปให้ความสนใจกับศักยภาพด้านนิวเคลียร์ของอิหร่าน โดยอิสราเอลมีความเชื่อว่าศักยภาพในการสร้างอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่านเป็นภัยคุกคามต่อความเป็นอยู่ของอิสราเอล
ขณะที่สหรัฐพยายามใช้การทูตยับยั้งโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน และการทำข้อตกลงใหม่กลับเปิดให้เตหะรานยังคงเสริมสมรรถนะยูเรเนียมต่อไปบางส่วน ส่งผลให้อิสราเอลมีโอกาสเข้าแทรกแซงทางทหารมากขึ้น
สถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางปะทุอีกครั้ง หลังจากกองทัพอิสราเอลเปิดปฏิบัติการโจมตีอิหร่านหลายระลอก ซึ่งเริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 13 มิ.ย. โดยมีเป้าหมายกว่า 200 จุด รวมไปถึงสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับโครงการนิวเคลียร์ และฐานทัพอากาศอิหร่านในหลายเมือง เหตุโจมตีระลอกแรกทำให้มีผู้เสียชีวิตไปแล้วอย่างน้อยกว่า 70 คน และบาดเจ็บอีกกว่า 320 ราย
ด้านผู้บัญชาการกองทัพอิสราเอลประกาศความสำเร็จ และจะเดินหน้าโจมตีอิหร่านเต็มกำลัง หลังจากอิหร่าน ระบุว่า การโจมตีของอิสราเอลส่งผลให้มีนายทหารระดับสูงหลายนาย ซึ่งรวมถึงผู้บัญชาการกองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติอิสลามและประธานคณะเสนาธิการทหาร ไปจนถึงนักวิทยาศาสตร์ด้านนิวเคลียร์เสียชีวิต 6 ราย
อิหร่านยิงขีปนาวุธโต้กลับโจมตีอิสราเอล ซึ่งระบบป้องกันภัยทางอากาศของอิสราเอล ยิงสกัดขีปนาวุธของอิหร่านได้ในหลายจุด รวมถึงในเมืองรามัลราห์ ในเวสต์ แบงค์
สื่อทางการอิหร่าน เปิดเผยว่า อิหร่านเปิดฉากโจมตีตอบโต้อิสราเอลระลอกที่ 2 ด้วยโดรนและขีปนาวุธอีกมากกว่า 100 ลูก โดยส่วนใหญ่พุ่งเป้าโจมตีไปที่กรุงเทล อาวีฟ และเมืองไฮฟา
จากสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน ที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดกระทรวงแรงงงาน กระทรวงการต่างประเทศ รวมถึงรัฐบาลไทย พร้อมเร่งให้ความช่วยเหลือประชาชนไทย -แรงงานไทยที่อยู่ในอิสราเอลและอิหร่าน โดยปัจจุบันมีแรงงานไทยทำงานอยู่ในประเทศอิสราเอลประมาณ 40,000 คน
ในส่วนของกระทรวงแรงงานแจ้งว่า ขอให้แรงงานทุกคนเร่งแจ้งตำแหน่งที่อยู่ปัจจุบัน มายังสำนักงานแรงงาน ณ กรุงเทลอาวีฟ หรือแจ้งผ่านญาติให้ติดต่อกลับมายังกรมการจัดหางานในประเทศไทย เพื่อให้อัพเดทข้อมูลอย่างเป็นระบบ พร้อมให้การช่วยเหลือได้ทันท่วงที และขอให้ติดตามข้อมูลข่าวสารของทางราชการอย่างใกล้ชิด
โทร (+98) 9121598699
โทร +972 546368150
โทร +972 503673195
โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือ โทร 1694
ขณะที่ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ได้แจ้งให้คนไทยทุกคนที่อยู่อิสราเอล ขอให้คนไทยทุกคนและครอบครัวอยู่ใกล้ๆ ที่หลบภัย โดยเข้าหลบภัยทันทีเมื่อได้ยินเสียงไซเรนหรือการแจ้งเตือนโดยทางการอิสราเอลจากมือถือ และรอจนกว่าได้รับการแจ้งให้ออกจากที่หลบภัย
ส่วนสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเตหะราน ได้แจ้งพี่น้องแรงงานไทยในประเทศอิหร่าน ขอให้ติดตามข้อมูลข่าวสารของทางการอย่างใกล้ชิด
ด้าน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เผยรัฐบาลไทยห่วงกังวลอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านที่รุนแรงขึ้น และขอให้ทุกฝ่ายยับยั้งชั่งใจ เพื่อไม่ให้สถานการณ์บานปลายและเลวร้ายลงได้สั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) จัดตั้งศูนย์ประสานงานสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อช่วยเหลือคนไทยในพื้นที่แล้ว และได้สั่งการให้ประสานงานกับกระทรวงกลาโหมในการเตรียมความพร้อมที่จะอพยพคนไทย หากสถานการณ์แย่ลง
เครดิตภาพ : Reuters
ข่าวที่เกี่ยวข้อง