Pride Month 2025 ปีนี้ ทำไมหลายแบรนด์ไม่เปลี่ยนโลโก้เป็นสีรุ้ง

ตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา แบรนด์และบรรษัทต่างๆ ทยอยโอบรับความหลากหลายทางเพศอย่างคึกคัก โดยเฉพาะช่วง Pride Month ที่มักเต็มไปด้วยแคมเปญโฆษณาสีรุ้งและคำมั่นสัญญาด้านความเท่าเทียม แม้จะถูกวิจารณ์ว่าเป็นเพียง "Pinkwashing" หรือการสร้างภาพเพื่อผลประโยชน์ก็ตาม

ทว่าเดือนมิถุนายนปี 2025 ที่ผ่านมา กลับแตกต่างอย่างชัดเจน เงียบผิดปกติ เพราะหลังจากเพียงห้าเดือนที่โดนัลด์ ทรัมป์กลับเข้าทำเนียบขาวเป็นสมัยที่ 2 คำสั่งฝ่ายบริหารของเขาที่พุ่งเป้าโจมตีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQIA+) และนโยบาย DEI (Diversity, Equity, Inclusion) ทำให้หลายแบรนด์รีบลบทิ้งร่องรอยความเคลื่อนไหวในอดีต และถอยห่างจากกิจกรรมหรือการสื่อสารใด ๆ ที่อาจถูกมองว่า “หัวก้าวหน้าเกินไป” 

การตลาดที่เคยเน้นการรวมกลุ่มคนชายขอบ กำลังถูกแทนที่ด้วยโฆษณาที่เน้นชาตินิยมมากขึ้น สอดรับกับวาระ “American First” และนโยบายภาษีใหม่ของทรัมป์ ตัวอย่างเช่น แคมเปญ “For America, From America” ของ Ford หรือโฆษณา “America Made Us” ของ Stellantis ล้วนเน้นภาพความเข้มแข็งและอุดมการณ์แบบอเมริกันดั้งเดิม

เมื่อตลาดต้อง "เลือกข้าง"

ผลสำรวจของ Gravity Research ระบุว่า 39% ของบริษัทในสหรัฐฯ วางแผนลดกิจกรรม Pride Month ในปีนี้ และไม่มีบริษัทใดเลยที่มีแผนเพิ่มขึ้น Mastercard, Citi, PepsiCo, Nissan, และ PwC ต่างถอนตัวจากการเป็นสปอนเซอร์หลักของ NYC Pride  (การเดินขบวน Pride March ในนิวยอร์ก) ปีนี้ โดยให้ความสำคัญกับการแสดงออกในรูปแบบภายในแทนที่จะสื่อสารต่อสาธารณะ

วงการบันเทิงก็ไม่รอดพ้นจากกระแสนี้

Disney, Warner Bros., Amazon และ Paramount ล้วนลดทอนนโยบาย DEI ของตน หลังถูกกดดันจากหน่วยงานรัฐ ขณะที่โซเชียลมีเดียกลายเป็นเวทีที่สะท้อนอุดมการณ์ฝ่ายขวาชัดเจนที่สุด  อีลอน มัสก์ และ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ต่างแสดงออกถึงความใกล้ชิดกับรัฐบาลทรัมป์ ไม่ว่าจะเป็นการบริจาคเงินจำนวนมหาศาล หรือการปรับอัลกอริธึมให้สอดคล้องกับแนวคิดอนุรักษนิยม โดย Meta ยกเลิกระบบ fact-checker ขณะ X (Twitter เดิม) กลายเป็นแหล่งปล่อยเนื้อหาชวนเกลียดชังที่ไร้การควบคุมแทน 

แต่ไม่ใช่ทุกแบรนด์จะเงียบใน Pride Month 

Costco, Ben & Jerry’s, Walmart, Delta Airlines, ELF, Apple, JPMorgan, และ Microsoft ยังคงยืนหยัดในอุดมการณ์ของตน ท่ามกลางแรงกดดันทางการเมือง

ทาง "เดวิด ไรบ์สไตน์" (David Reibstein) ศาสตราจารย์ด้านการตลาด Wharton School ให้เหตุผลว่า “ผู้บริโภคมีบทบาทสำคัญในการเลือกสนับสนุนแบรนด์เหล่านี้ให้มีจุดยืนต่อไป” และถึงขั้นออกมาเตือนในประเด็นนี้ว่า หากเราปล่อยให้วัฒนธรรมการตลาดยอมจำนนต่อแนวคิดฝ่ายขวา เราจะสูญเสียความคิดสร้างสรรค์และความหลากหลายในระดับโครงสร้าง เพราะโฆษณาไม่ใช่แค่ขายของ แต่มันถ่ายทอดวิธีที่เราคิด เห็น และจินตนาการถึงตัวเราเองในฐานะสังคม หากแบรนด์เลือกความกลัวแทนคุณธรรม หากนักโฆษณาเลือกผลประโยชน์ระยะสั้นแทนค่านิยมสาธารณะ เราอาจสูญเสีย Pride Month ไปตลอดกาล  

ที่มา : wired, businessinsider