SHORT CUT
องค์การสหประชาชาติ หรือ UN ประกาศภาวะทุพภิกขภัย (Famine) หรือ ภาวะอดอยาก ในพื้นที่ตอนเหนือของฉนวนกาซาอย่างเป็นทางการ นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของภูมิภาคตะวันออกกลางที่วิกฤตความมั่นคงทางอาหาร
องค์การสหประชาชาติ หรือ UN ประกาศภาวะทุพภิกขภัย (Famine) หรือ ในพื้นที่ตอนเหนือของฉนวนกาซาอย่างเป็นทางการ นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของภูมิภาคตะวันออกกลางที่วิกฤตความมั่นคงทางอาหารได้ดิ่งลงสู่ระดับเลวร้ายที่สุด ท่ามกลางเสียงเตือนจากผู้เชี่ยวชาญว่าประชากรกว่าครึ่งล้านคนกำลังเผชิญหน้ากับ "ความหิวโหยระดับหายนะ"
การประกาศดังกล่าว อ้างอิงข้อมูลจากการประเมินของหน่วยงานติดตามสถานการณ์ระดับโลก ซึ่งได้จุดชนวนการตอบโต้ทางการทูตอย่างรุนแรงทันที เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหประชาชาติชี้ว่าวิกฤตครั้งนี้เป็นผลมาจากการขัดขวางการส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างเป็นระบบโดยอิสราเอล ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่รัฐบาลอิสราเอลปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง
กระทรวงการต่างประเทศอิสราเอลออกแถลงการณ์ตอบโต้ว่า การประกาศภาวะอดอยากนั้น "ตั้งอยู่บนคำโกหกของฮามาสที่ถูกฟอกผ่านองค์กรที่มีผลประโยชน์แอบแฝง" และยืนยันว่า "ไม่มีความอดอยากในกาซา"
การตัดสินใจประกาศภาวะอดอยากไม่ได้เกิดขึ้นโดยพลการ แต่เป็นไปตามเกณฑ์ที่เข้มงวดของ Integrated Food Security Phase Classification (IPC) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ได้รับความไว้วางใจจากนานาชาติในการวิเคราะห์และเตือนภัยวิกฤตด้านอาหาร
ภาวะทุพภิกขภัย (IPC Phase 5) จะถูกประกาศเมื่อสถานการณ์เข้าเกณฑ์ 3 ข้อดังนี้:
รายงานล่าสุดของ IPC ซึ่งมีสำนักงานในกรุงโรมระบุว่า ณ วันที่ 15 สิงหาคม 2025 เขตการปกครองกาซา ซึ่งรวมถึงกาซาซิตี้และพื้นที่โดยรอบ ได้เข้าสู่ภาวะทุพภิกขภัยอย่างสมบูรณ์แล้ว "หลังจากการสู้รบต่อเนื่อง 22 เดือน ประชากรกว่า 500,000 คน กำลังเผชิญสภาวะหายนะ ที่มีลักษณะเฉพาะคือความอดอยาก ความยากจนข้นแค้น และความตาย" รายงานระบุ
สถานการณ์ยังไม่มีแนวโน้มจะสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ IPC คาดการณ์ว่าภายในสิ้นเดือนกันยายน ภาวะทุพภิกขภัยจะขยายวงกว้างไปยังเขต Deir el-Balah และ Khan Yunis ทางตอนกลางและตอนใต้ของฉนวนกาซา ซึ่งจะทำให้ประชากรที่ตกอยู่ในภาวะอดอยากเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 641,000 คน หรือมากกว่าสามในสี่ของประชากรทั้งหมด
รายงานย้ำอย่างหนักแน่นว่า นี่คือ "หายนะที่เกิดจากฝีมือมนุษย์โดยสิ้นเชิง" โดยมีปัจจัยหลักมาจากการสู้รบที่ยืดเยื้อ การพลัดถิ่นครั้งใหญ่ของประชาชน และที่สำคัญที่สุดคือ "ข้อจำกัดที่รุนแรงในการเข้าถึงความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและเสบียงอาหาร"
เด็กคือกลุ่มที่เปราะบางที่สุดและกำลังรับผลกระทบอย่างแสนสาหัส ข้อมูลจาก UNICEF เผยว่า เฉพาะในเดือนกรกฎาคมเพียงเดือนเดียว มีเด็กมากกว่า 12,000 คนถูกวินิจฉัยว่าขาดสารอาหารเฉียบพลัน ซึ่งเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นถึง 6 เท่าจากเดือนมกราคม
"สัญญาณเตือนนั้นชัดเจนและปรากฏอยู่ตรงหน้าเรา" แคทเธอรีน รัสเซลล์ ผู้อำนวยการบริหาร UNICEF กล่าว "เด็กที่มีร่างกายผอมแห้ง อ่อนแอเกินกว่าจะร้องไห้ และทารกที่เสียชีวิตจากความหิวโหยและโรคที่ป้องกันได้"
การประกาศภาวะทุพภิกขภัยในกาซา ทำให้สถานการณ์ครั้งนี้ถูกจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับโศกนาฏกรรมความอดอยากครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่มักมีปัจจัยทางการเมืองและการสู้รบเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ต่างจากวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน
โฮโลโดมอร์ในยูเครน (1932-1933): ภาวะอดอยากที่ถูกสร้างขึ้นโดยนโยบายของโซเวียตที่ยึดผลผลิตทางการเกษตรไปจากชาวนา มีผู้เสียชีวิตหลายล้านคน
ทุพภิกขภัยในเบงกอล (1943): เกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งการบริหารจัดการเสบียงที่ล้มเหลวของรัฐบาลบริติชราช มีส่วนทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงจนมีผู้เสียชีวิตกว่า 2-3 ล้านคน
ทุพภิกขภัยในเอธิโอเปีย (1983-1985): ความแห้งแล้งที่รุนแรงถูกซ้ำเติมด้วยสงครามกลางเมือง ทำให้การช่วยเหลือเข้าถึงผู้คนนับล้านเป็นไปอย่างยากลำบาก
ขณะที่โลกกำลังจับตามอง ประชาชนเกือบหนึ่งล้านคนในตอนเหนือของกาซายังคงติดอยู่ท่ามกลางวิกฤตที่เลวร้ายลงทุกขณะ การประกาศภาวะทุพภิกขภัยไม่ใช่เป็นเพียงการยืนยันตัวเลขทางสถิติ แต่คือเสียงร้องจากความเป็นมนุษย์ที่กำลังจะดับสิ้นไปในหายนะที่หลายฝ่ายเชื่อว่าสามารถป้องกันได้
ที่มา : worldvision.org history britannica bbc
ข่าวที่เกี่ยวข้อง