svasdssvasds

แอมเนสตี้ชวนดู No Other Land: สารคดีการ ‘ดิ้นรน’ ของชาวปาเลสไตน์

แอมเนสตี้ชวนดู No Other Land: สารคดีการ ‘ดิ้นรน’ ของชาวปาเลสไตน์

แอมเนสตี้จัดงาน Movies that Matter: ชวนดู No Other Land – ใครจองแผ่นดินนี้ สารคดีสะท้อนสถานการณ์อิสราเอล-ปาเลสไตน์ พร้อมเรียกร้องการหยุดยิง ยุติ "การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์"

SHORT CUT

  • แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย จัดฉายภาพยนตร์สารคดี ‘No Other Land’ เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับสถานการณ์สิทธิมนุษยชนและการต่อสู้ดิ้นรนของชาวปาเลสไตน์
  • สารคดีนำเสนอเรื่องราวความรุนแรงและการถูกไล่รื้อถอนที่อยู่อาศัยที่ชาวปาเลสไตน์ในเขตเวสต์แบงก์ต้องเผชิญ ผ่านการบันทึกเหตุการณ์โดยนักกิจกรรมชาวปาเลสไตน์และผู้สื่อข่าวชาวอิสราเอล
  • แอมเนสตี้ฯ ชี้ว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นคือ ‘การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’ พร้อมเรียกร้องให้ประชาคมโลกกดดันให้เกิดการหยุดยิงทันทีและยุติการรุกรานที่ผิดกฎหมาย

แอมเนสตี้จัดงาน Movies that Matter: ชวนดู No Other Land – ใครจองแผ่นดินนี้ สารคดีสะท้อนสถานการณ์อิสราเอล-ปาเลสไตน์ พร้อมเรียกร้องการหยุดยิง ยุติ "การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์"

หลายปีแล้วที่ความรุนแรงเกิดขึ้นกับชาวปาเลสไตน์ยังคงดำเนินไปและยังหาจุดยุติไม่ได้ ส่งผลให้ปัจจุบันมีชาวปาเลสไตน์นับหมื่นคนต้องจบชีวิต หลายคนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง ขณะเดียวกัน การรับรู้ความรุนแรงที่เกิดขึ้นต่อผู้คน การกดขี่ และการปฏิบัติที่ไร้ซึ่งมนุษยธรรม ยังคงเป็นที่รับรู้ในวงจำกัด

เมื่อต้องการให้โลกได้มองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับชาวปาเลสไตน์ จึงเกิดเป็นสารคดีเรื่อง NO OTHER LAND ใครจองแผ่นดินนี้ สารคดีที่ปะติดปะต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับชาวปาเลสไตน์ในพื้นที่เวสต์แบงก์ โดยผู้ที่เกิดและเติบโตในพื้นที่อย่าง บาเซล อัดรา กับผู้ที่เข้าไปฝังตัวเพื่อนำเสนอความรุนแรงกับชาวปาเลสไตน์อย่าง ยูวาล อับราฮัม ที่ทำให้พบกับเรื่องราวความรุนแรงที่มีอิสราเอลเป็นผู้กระทำ และมีชาวปาเลสไตน์เป็นผู้ถูกกระทำ 

แอมเนสตี้ชวนดู No Other Land: สารคดีการ ‘ดิ้นรน’ ของชาวปาเลสไตน์

เพื่อสืบทอดเจตนารมของภาพยนตร์ที่ต้องการให้สิ่งที่เกิดขึ้นกับชาวปาเลสไตน์เป็นที่รับรู้ วันที่ 30 สิงหาคม 2568 แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ได้จัดงาน ดูหนัง-ฟังเรื่องสิทธิมนุษยชน Movies that Matter ฉายภาพยนตร์สารคดีเรื่อง ‘No Other Land-ใครจองแผ่นดินนี้’ ภาพยนตร์รางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์สารคดียอดเยี่ยม ประจำปี 2568 ณ โรงภาพยนตร์พารากอน ซินีเพล็กซ์ สยามพารากอน กรุงเทพฯ  พร้อมเชิญผู้เชี่ยวชาญมานั่งวิเคราะห์พูดคุยถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับชาวปาเลสไตน์ในเขตเวสต์แบงก์ เพื่อสะท้อนสิ่งที่ภาพยนตร์ฉายให้เห็นการรับรู้ และความเป็นไปได้ที่จะเกิดความเปลี่ยนแปลงด้านบวกกับชาวปาเลสไตน์

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ชี้ชัด สถานการร์อิสราเอล-ปาเลสไตน์ คือ ‘การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’ 

บัญชา ลีลาเกื้อกูล ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย กล่าวเปิดงานโดยย้ำว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในฉนวนกาซาไม่ใช่ภัยธรรมชาติ แต่เป็น ‘หายนะที่มนุษย์สร้างขึ้นโดยเจตนาและเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’ ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขปาเลสไตน์ ณ วันที่ 26 สิงหาคม 2025 ระบุว่า มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 62,819 ราย รวมเด็ก 18,430 ราย และผู้บาดเจ็บสะสมกว่า 158,629 ราย นอกจากนี้ยังมีประชาชนกว่า 500,000 คนกำลังเผชิญความหิวโหยขั้นหายนะ (Catastrophic) หลังจากองค์กร Integrated Food Security Phase Classification (IPC) ประกาศภาวะ ‘อดอยาก’ อย่างเป็นทางการในกาซาซิตี้และพื้นที่โดยรอบ

บัญชาระบุว่า การขัดขวางความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม การโจมตีพลเรือน และการทำลายโครงสร้างพื้นฐาน ถือเป็นหลักฐานสะท้อนเจตนาทำลายล้างอย่างเป็นระบบ โดยตลอดเกือบสองปีที่ผ่านมา อิสราเอลได้สังหารนักข่าวและบุคลากรสื่อในฉนวนกาซาไปแล้วกว่า 270 ราย ขณะที่สหประชาชาติประเมินว่ามีประชาชนราว 1.9 ล้านคน หรือ 90% ของประชากรทั้งหมด ต้องพลัดถิ่นจากบ้านเกิดท่ามกลางสถานการณ์นี้ 

บัญชา ลีลาเกื้อกูล ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย

“สิ่งที่เกิดขึ้นในฉนวนกาซาไม่ใช่แค่สงคราม แต่เป็น กระบวนการทำลายล้างที่เป็นระบบและต่อเนื่อง สะท้อนถึงเจตนาและการกระทำที่ชัดเจน เข้าข่ายการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ต่อประชาชนชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา”

โดยแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลมีเรียกร้องต่อรัฐต่างๆ และประชาคมโลก ดังนี้

  • หยุดยิงทันที ยุติการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และการปิดล้อมโดยอิสราเอล เปิดทางให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเข้าถึงได้อย่างปลอดภัย
  • ยุติการยึดครองที่มิชอบด้วยกฎหมายและระบบแบ่งแยกเชื้อชาติ ตามคำวินิจฉัยของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ)
  • ร่วมฟื้นฟูฉนวนกาซาและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ โดยต้องไม่บังคับอพยพ และเปิดโอกาสให้ภาคประชาสังคมปาเลสไตน์มีส่วนร่วม
  • จัดตั้งกลไกเยียวยาและค่าชดเชยที่เป็นธรรม ครอบคลุมการคืนสภาพ การชดเชย และการรับประกันว่าจะไม่เกิดซ้ำ
  • สนับสนุนความรับผิดทางกฎหมาย ผ่านศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) และกลไกสากลอื่น ๆ เพื่อนำผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
  • เพิ่มแรงกดดันทางการเมืองและเศรษฐกิจ ให้รัฐบาลอิสราเอลปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศ และหยุดการสนับสนุนการละเมิดทุกรูปแบบ

“เราไม่ได้มาเพียงเพื่อดูภาพยนตร์ แต่เพื่อยืนยันร่วมกันว่า สิทธิมนุษยชนเป็นของทุกคน และความเงียบไม่อาจเป็นคำตอบต่อการละเมิดสิทธิที่โหดร้ายเช่นนี้” บัญชา กล่าวย้ำในช่วงท้าย

ความเป็นมนุษย์ การต่อสู้ และความหวัง สิ่งที่สะท้อนออกมาจากภาพยนตร์

NO OTHER LAND ใครจองแผ่นดินนี้ เป็นภาพยนตร์เชิงสารคดีที่ดำเนินเรื่องโดย ยูวาล อับราฮัม ผู้สื่อข่าวชาวอิสราเอล ที่เข้าไปฝังตัวเพื่อนำเสนอสิ่งที่เกิดขึ้นกับชาวปาเลสไตน์ในเขตเวสต์แบงก์ และบาเซล อัดรา นักกิจกรรมชาวปาเลสไตน์ ที่เกิดและเติบโตในเขตเวสต์แบงก์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ภาพยนตร์นำมาสะท้อนถึงความรุนแรงของอิสราเอลที่กระทำต่อชาวปาเลสไตน์ในพื้นที่ดังกล่าว ดังนั้น NO OTHER LAND จึงเปรียบเสมือน ‘ตัวแทน’ ของบาเซล และยูวาล รวมไปถึงชาวปาเลสไตน์ในเขตเวสต์แบงก์ในฐานะของผู้ถูกกระทำที่ใช้ภาพยนตร์เป็นตัวกลางในการถ่ายทอดสิ่งที่เกิดขึ้นในพื้นที่ รวมไปถึงการถ่ายทอดอารมณ์และความรู้สึกของตัวละคร

ฟูอาดี้ พิศสุวรรณ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

จากการรวบรวมคำพูดของตัวละครที่ปรากฏในภาพยนตร์เชิงสารคดี โดยฟูอาดี้ พิศสุวรรณ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พบว่า คำที่พบมากที่สุดคือคำว่า ‘Village’ ซึ่งสะท้อนถึงความรู้สึกผูกพันกับบ้านเกิดของตัวละคร โดยในที่นี้หมายถึงหมู่บ้านของชาวปาเลสไตน์ที่ตั้งอยู่ในเขตเวสต์แบงก์และกำลังถูกอิสราเอลไล่รื้อถอนบ้านเรือน และมีคำว่า ‘thing’ ที่ฟูอาดี้ ระบุว่า สื่อถึงความไม่แน่นอน ขณะเดียวกันยังปรากฏคำว่า ‘Hope’ และคำว่า ‘Invibible’ ที่สะท้อนถึงความหวัง และการยืนหยัดต่อสู้ของบาเซลและยูวาล เพื่อตอบสนองต่อการกระทำที่รุนแรงของอิสราเอล โดยใช้กล้องวิดีโอบันทึกความรุนแรงที่เกิดขึ้นก่อนนำไปเผยแพร่สู่สาธารณะ 

วีณารัตน์ เลาหภคกุล ผู้ประกาศข่าวต่างประเทศ

ด้าน วีณารัตน์ เลาหภคกุล ผู้ประกาศข่าวต่างประเทศ ระบุว่า No Other Land ทำให้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในเขตเวสต์แบงก์ผ่านสายตาของผู้ถูกกระทำในพื้นที่ โดยเฉพาะตัวละครอย่าง บาเซล ที่ภาพยนตร์ได้นำเสนอภูมิหลังของตัวละครย้อนกลับไปตั้งแต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้เป็นพ่อตั้งแต่ที่เขายังคงอยู่ในวัยเด็กและตอนโตขึ้น รวมไปถึงชาวปาเลสไตน์ผู้ที่ถูกกระทำความรุนแรงโดยอิสราเอลได้ถูกบันทึกไว้ด้วยกล้องวิดีโอของบาเซลและยูวาล ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่ชาวบ้านถูกทหารของอิสราเอลยิงจนกลายเป็นอัมพาตและเสียชีวิตในภายหลัง รวมถึงฉากบ้านเรือน โรงเรียน สนามเด็กเล่น ไปจนถึงสาธารณูปโภคอย่างน้ำและไฟฟ้าในเขตเวสต์แบงก์ ที่ค่อยๆ ถูกทำลายลงเพื่อบีบบังคับให้ชาวปาเลสไตน์ย้ายไปอยู่ที่อื่น ได้ถูกนำเสนอเป็นภาพเคลื่อนไหวในสารคดีจึงยิ่งสร้างความสะเทือนใจและความรู้สึกสงสาร ขณะเดียวกันการถ่ายทอดเรื่องราวจากผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์จริง วีณารัตน์ ชี้ว่า ภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้ทำให้เห็นภาพที่มีความเป็น ‘มนุษย์’ มากยิ่งขึ้น มากกว่าที่จะพบเห็นได้จากการอ่านในข่าวทั่วไป

ภาณุ อารี ผู้กำกับภาพยนตร์

ภาณุ อารี ผู้กำกับภาพยนตร์ กล่าวว่า No Other Land ไม่ได้นำเสนอเรื่องราวของชาวปาเลสไตน์ที่เลือกใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา เขายกตัวอย่างฉากที่ชาวปาเลสไตน์สร้างบ้านขึ้นใหม่ภายหลังเจ้าหน้าที่อิสราเอลทำการรื้อถอน รวมไปถึงสิ่งที่บาเซล และยูวาลทำอย่างการบันทึกวิดีโอสิ่งที่เกิดขึ้นกับชาวปาเลสไตน์ และเผยแพร่ให้ผู้คนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาว่าเป็น ‘ความหวัง’ ทั้งยังมองว่า ยังมีผู้คนอีกมากที่ทำแบบที่บาเซล และยูวาลทำในสารคดี NO OTHER LAND เพียงแต่ยังไม่ถูกนำเสนอให้เป็นที่รับรู้เท่านั้น 

ปาเลสไตน์-อิสราเอล ความขัดแย้งที่ยังคงดำเนินไปในปัจจุบัน 

การนำเจ้าหน้าที่พร้อมเครื่องมือเข้ารื้อถอนบ้านเรือน สนามเด็กเล่น และโรงเรียนของชาวปาเลสไตน์ในพื้นที่เวสต์แบงก์โดยเจ้าหน้าที่ของอิสราเอล ก่อนจะนำเอาชาวยิวเข้ามาตั้งนิคมในพื้นที่ที่รื้อถอนแล้ว มีให้เห็นอย่างต่อเนื่องในภาพยนตร์เชิงสารคดี No Other Land ฟูอาดี้ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชี้ว่า พฤติกรรมเช่นนี้ทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้น

“การนำคน (อิสราเอล) เข้ามาแบบนี้มันทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้น เพราะตรงนั้นมีคนอยู่แล้ว”
ฟูอาดี้ นำแผนที่แสดงพื้นที่ของชาวปาเลสไตน์และชาวอิสราเอล นับตั้งแต่ปี 1918-2017 โดยพื้นที่สีเขียวแทนชาวปาเลสไตน์ และพื้นที่สีดำแทนชาวอิสราเอล เพื่อแสดงให้เห็นว่าพื้นที่ของชาวปาเลสไตน์หดตัวลงเรื่อยๆ สวนทางกับพื้นที่ของชาวอิสราเอลที่กำลังขยายตัว 

“การเอาคนเข้ามาอยู่ในพื้นที่เขาจะเรียกว่า Settler colonialism เป็นการเอาคนจากพื้นที่หนึ่ง ชาติพันธ์ุหนึ่ง ศาสนาหนึ่ง เข้ามาอยู่ในพื้นที่หนึ่งเพื่อลดความเป็นปึกแผ่น อัตลักษณ์ของอีกเผ่าพันธุ์ หรือศาสนาหนึ่ง”

“มันทำให้คนที่อยู่ในพื้นที่ตรงนั้นลดความเป็นตัวตน และถูกกดทับมากขึ้นเลยปะทุเป็นสงคราม”

นอกจากนี้ ยังเสริมด้วยการหนุนหลังจากประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาที่ฟูอาดี้ระบุว่า ชาวยิวยังคงมีอำนาจในระดับการเมืองภายใน เป็นแหล่งสนับสนุนในการเลือกตั้งที่ต้องใช้ทุนสูง ทำให้อำนาจการต่อรองกับสหรัฐฯของอิสราเอลจึงสูงกว่าประเทศอื่นๆ ในหลายประเทศ ขณะเดียวกัน ประเทศในแถบอาหรับที่แม้จะนับถือศาสนาเดียวกันกับชาวปาเลสไตน์ ยังคงไม่กล้าดำเนินการใดต่อปัญหาความขัดแย้งระหว่างปาเลสไตน์-อิสราเอล เนื่องจากไม่ต้องการเป็นปฏิปักษ์กับสหรัฐฯ ดังนั้น การที่อิสราเอลได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ความขัดแย้งและความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับชาวปาเลสไตน์ยังคงดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน 

แอมเนสตี้ชวนดู No Other Land: สารคดีการ ‘ดิ้นรน’ ของชาวปาเลสไตน์

บทบาท และการพูดถึงความรุนแรงในปาเลสไตน์ของสื่อมวลชน

วีณารัตน์ ผู้ประกาศข่าวต่างประเทศ สะท้อนการเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นในประเด็นความขัดแย้งระหว่างปาเลสไตน์-อิสราเอล ทางฝั่งของอิสราเอลว่า ยังคงได้เปรียบตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน กระนั้น ในระดับมุมมองของผู้คนมีทิศทางที่คนรุ่นใหม่จะเห็นใจชาวปาเลสไตน์มากยิ่งขึ้น แตกต่างจากเมื่อก่อนที่จะเอนเอียงไปทางด้านอิสราเอล ทว่า ในฐานะของผู้สื่อข่าว การรายงานข่าวในประเด็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในต่างประเทศนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และต้องรายงานข่าวด้วยความรอบด้าน เนื่องจากเป็นเรื่องที่มีความซับซ้อนและละเอียดอ่อน

“ข่าวต่างประเทศอาจจะไม่ได้ถูกให้ความสำคัญมากนัก แต่ว่าจะสนใจขึ้นมาต่อเมื่อส่งผลกระทบต่อคนไทยหรือว่าประเทศไทย เช่น ตอนที่เกิดเหตุว่าคนไทยก็เสียชีวิตด้วยหรือว่าถูกจับไปเป็นตัวประกันด้วยตอนปี ค.ศ.2023 อย่างนี้เป็นต้น เพราะว่ามันใกล้ชิดมันเกี่ยวข้องกับคนไทยเลย คนไทยจะอพยพกลับมาอย่างไร จะทำอย่างไรต่ออย่างนี้ ก็จะให้น้ำหนักให้ความสนใจ”

ในฐานะของผู้คร่ำหวอดในการรายงานข่าวต่างประเทศ วีณารัตน์ ให้ข้อมูลว่า ประเด็นความขัดแย้งระหว่างปาเลสไตน์กับอิสราเอล เป็นประเด็นที่คนไทยต่างรับรู้เนื่องจากความขัดแย้งยังคงดำเนินมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ขณะเดียวกันอาจมีความเคลื่อนไหวอื่นๆ ที่เกิดขึ้นและได้รับความสนใจจากกองบรรณาธิการ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคนจึงพูดถึงกรณีความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับชาวปาเลสไตน์มากนัก

“จากที่ติดตามสำนักข่าวในต่างประเทศยังคงมีการรายงานอยู่เรื่อยๆ เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น แค่จะรายงานสั้นหรือยาว เจาะลึกแค่ไหน แต่จริงๆ มันเป็นประเด็นตลอดเวลาอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเพราะว่ามีเหตุการณ์เกิดขึ้นตลอดเวลา จะเหตุการณ์ใหญ่หรือเหตุการณ์เล็ก หรือว่าบางทีก็จะมีประเทศมหาอำนาจเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เพราะฉะนั้นเราเห็นว่าสิ่งนี้อยู่ในข่าวตลอดเวลาอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าใครจะสนใจอ่านมันหรือเปล่าด้วยซ้ำ” วีณารัตน์ กล่าว

การดิ้นรนของผู้คน และสถานการณ์ที่เลวร้ายกว่าเดิม จะนำสู่จุดเปลี่ยน

กล้องวีดีโอที่นำเสนอทุกความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นกับบาเซล ยูวาล และชาวปาเลสไตน์ในเขตเวสต์แบงก์ได้รับการอธิบายจากผู้กำกับภาพยนตร์อย่าง ภาณุ อารี ว่าเป็นการสะท้อน ‘ความจริง’ และเป็นมากกว่าเรื่องเล่าที่พบเห็นได้จากการรายงานข่าว 

“เพราะสิ่งสำคัญคือเป็นการบันทึกในระดับบุคคล ผมลองนึกว่า หากกล้องมือถือถูกพัฒนาตั้งแต่ยุคการสังหารโหดที่ชาวรวันดา เราอาจจะเห็นบันทึกประวัติศาสตร์อีกมุมหนึ่งที่มันอาจจะโหดร้ายกว่า และมีดีเทลกว่าและในขณะเดียวกันมันสะท้อนความจริงที่มันมากกว่าแค่เรื่องเล่าจากรายงานของสื่อมวลชนที่สามารถเข้าไปได้”

“กรณีของปาเลสไตน์อย่างกรณีที่เกิดขึ้นในสารคดี หรือตั้งแต่ ค.ศ.2010 เป็นต้นมา เราจะเห็นว่าบทบาทของคนในพื้นที่มีผลมาก ยิ่งตอนนี้ที่อุปกรณ์การบันทึกมีขนาดเล็กลง มีความคล่องตัวและคนทั่วไปเข้าถึงได้ ทุกคนก็สามารถเป็นผู้เล่าได้ทั้งหมด”

    การบอกเล่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับชาวปาเลสไตน์นั้นมีการพัฒนาอย่างเป็นพลวัตรตามยุคสมัย ภาณุ ชี้ว่า ก่อนหน้านี้ก็มีการพูดถึงปาเลสไตน์ในระดับของงานประเภทเขียน ก่อนจะพัฒนามาเป็นการถ่ายทอดผ่านฟุตเทจวิดีโออย่างสารคดี No Other Land ในปัจจุบัน 

“มันคงเป็นการดิ้นรนเท่าที่ทำได้ เมื่อก่อนต้องใช้ปากกาเขียนสู้ สำหรับตัวละครอย่าง บาเซล ผมคิดว่าในภาวะที่เขาถูกบีบจนแทบไม่มีทางเลือก จริงๆ เขามีอีกตัวเลือกหนึ่งที่เขาทำได้คือ อาจจะไปร่วมกับฮามาสหรือไปร่วมกับขบวนการที่ใช้ความรุนแรงก็ได้ แต่ผมเชื่อว่า บาเซลเองก็พาตัวเองไปไกลกว่าจุดนนั้น นี่คือพลังของหนังที่พยายามที่จะบอกว่า ต่อให้เราหมดสิ้นหนทางแต่ถ้าเรายังมีความหวัง แล้วเราก็ทำมันอย่างดีที่สุด ผมว่าวันนี้สิ่งที่บาเซลเขาพยายามมันได้ผลนะ การที่หนังได้รางวัลออสการ์ปี 2025 การที่ผู้กำกับ 2 คนได้กล่าวสปีชและทำให้คนทั้งโลกได้รู้ มันสะท้อนให้เห็นว่า สิ่งที่เขาทำมันกำลังจะได้ผล” ภาณุ กล่าว

แม้การดิ้นรนของปัจเจกบุคคลอย่าง บาเซล และ ยูวาล รวมถึงชาวปาเลสไตน์ที่ปรากฏในสารคดี จะสะท้อนความพยายามสร้าง “ความยุติธรรม” ให้กับผู้ที่ถูกกดขี่โดยอิสราเอล และได้รับการตอบรับเชิงบวกในระดับสาธารณะ แต่เมื่อมองในภาพกว้าง บทบาทขององค์กรระหว่างประเทศ กลไกด้านสิทธิมนุษยชน ไปจนถึงประเทศมหาอำนาจที่ควรเข้ามาช่วยยุติความรุนแรง กลับไม่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงได้ ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่าง ฟูอาดี้ ถึงกับใช้คำว่า “ล้มเหลว” เพื่ออธิบายการทำงานของกลไกเหล่านี้

“เป็นที่ประจักษ์อยู่แล้วว่าล้มเหลว ไม่อย่างนั้นคนเสียชีวิตจะไม่มากขนาดนี้ แต่ก็ไม่ได้หมดหวัง ยังมีคนในอิสราเอลที่ไม่ได้เห็นด้วยกับผู้นำ และยังมีคนแบบบาเซล และยูวาลอยู่ทุกแห่ง มีคนออกมาต่อต้านบอกว่าสิ่งนี้ไม่ถูกต้อง”

อีกด้านหนึ่งที่ทั้งโหดร้ายและน่าเศร้า คือจำนวนผู้เสียชีวิตชาวปาเลสไตน์จากการโจมตีของอิสราเอลซึ่งขณะนี้แตะราว 60,000 คนแล้ว ตัวเลขนี้ไม่เพียงสะท้อนความสูญเสียที่มหาศาล หากยังอาจกลายเป็น “จุดเปลี่ยน” ของโลก เพราะหากเพิ่มสูงขึ้นไปกว่านี้ มันอาจเขย่าบรรทัดฐานที่สังคมโลกใช้ประเมินความรุนแรง และบังคับให้ปัญหาปาเลสไตน์ถูกให้ความสำคัญมากกว่าที่เป็นอยู่

แอมเนสตี้ชวนดู No Other Land: สารคดีการ ‘ดิ้นรน’ ของชาวปาเลสไตน์

สิทธิมนุษยชนไม่ใช่เรื่องไกลตัว บทเรียนจาก No Other Land ใครจองเแผ่นดินนี้

สุดท้าย ในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์ ภาณุชี้ว่า สิ่งที่สำคัญกว่าทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องศาสนา เชื้อชาติ ความเป็นมนุษย์มันจะทำให้เรามองเห็นว่า การเข่นฆ่า ทำร้าย และลดทอนความเป็นมนุษย์ด้วยกันเป็นสิ่งที่ผิด และคือ ‘การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’
“หากยกระดับตัวเองให้นึกถึงความเป็นมนุษย์มากขึ้น มุมมองของเราจะเปลี่ยนไปทั้งหมด การตื่นรู้เรื่องแนวคิดมนุษย์นิยม การมองเห็นความสำคัญของมนุษย์ กำลังเกิดขึ้นกับคนทั่วโลก หากเราพยายามแพร่ความคิดมนุษย์นิยมของเราบนโซเชียลมีเดีย อาจจะทำให้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับชาวปาเลสไตน์ไม่กลับไปแย่เหมือนเดิม”

วีณารัตน์  ระบุว่า ความต้องการของมนุษย์ในโลกไม่ว่าที่ไหนก็น่าจะเหมือนกัน คือการอยู่อย่างสันติ ใช้ชีวิตอย่างสันติ เป็นปกติ แต่สิ่งนี้ยังคงเป็นคำถามใหญ่ว่าจะเกิดขึ้นได้ไหมในภูมิภาคนี้ และเมื่อจะเกิดขึ้นจะเกิดขึ้นในรูปแบบไหน ในสถานการณ์ปัจจุบันที่บีบรัดเร่งเร้าจากอิสราเอล

“ทุกคนทั่วโลกมีความเป็นมนุษย์เหมือนกันทั้งหมด พวกเขายังมีความเห็นอกเห็นใจเมื่อมีผู้เสียชีวิตในฉนวนกาซามากมาย แต่เหตุการณ์จะจบอย่างไร บางทีอาจจะไม่ใช่แค่ความเห็นใจจากคนทั่วโลก แต่อยู่ที่ผู้มีอำนาจตัดสินใจที่จะหยุดหรือไม่หยุดก็ได้ หลักๆ คืออเมริกาที่จะต้องมีส่วนร่วมในเรื่องนี้”

ฟูอาดี้ กล่าวว่า ในที่สุดพวกเราทุกคนเป็นมนุษย์เหมือนกัน พื้นฐานของเราคือมนุษย์ แล้วเราจึงค่อยๆ มีหมวกอื่นที่สวมทับกันไปเรื่อยๆ แต่ต้องอย่าทำให้หมวกพวกนั้นก้าวข้ามความเป็นมนุษย์ อย่าให้อัตลักษณ์อื่นๆ มาทำลายความเป็นมนุษย์ลงไป
“มีบทกวีตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 เขียนเอาไว้หน้าแรกว่า ใครก็ตามที่มีงานศพ จะมีระฆังดังบอกทุกคนว่ากำลังมีงานศพ คุณไม่จำเป็นต้องถามหรอกว่า ระฆังนั้นดังเพื่อใคร มันดังเพื่อคุณนั่นแหละ เพราะว่าเราทุกคนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เราเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน ไม่ว่าใครตาย คุณก็ควรจะรู้สึกเสียใจ และคุณก็ควรจะรู้สึกเจ็บปวดทั้งนั้นแหละ” ฟูอาดี้ กล่าวทิ้งท้าย

การฉาย No Other Land ในงาน ดูหนัง-ฟังเรื่องสิทธิมนุษยชน Movies that Matter ไม่ได้เป็นเพียงการพาผู้ชมเข้าไปอยู่ท่ามกลางเรื่องราวการดิ้นรนของบาเซล ยูวาล และชาวปาเลสไตน์ หากยังสะท้อนความจริงอันโหดร้ายที่ยังดำเนินอยู่ในปัจจุบัน ภาพยนตร์จึงกลายเป็นพื้นที่ที่ทำให้ผู้คนได้มองเห็นมนุษย์ซึ่งกำลังถูกพรากสิทธิและศักดิ์ศรีไปทีละขั้น

ท่ามกลางความสูญเสียมหาศาล แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลย้ำชัดว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในกาซาและเวสต์แบงก์คือ หายนะที่มนุษย์สร้างขึ้น และไม่อาจปล่อยให้กลายเป็นเรื่องปกติที่โลกเพิกเฉยได้ แอมเนสตี้จึงประกาศข้อเรียกร้องให้ประชาคมโลกหยุดยิงทันที ยุติการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ยกเลิกการปิดล้อมที่มิชอบด้วยกฎหมาย และผลักดันให้เกิดกลไกความยุติธรรมระดับสากล เพื่อเยียวยาและป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ

การจัดงานครั้งนี้จึงเป็นมากกว่าการฉายภาพยนตร์ หากคือการตอกย้ำพันธกิจของแอมเนสตี้ในการยืนเคียงข้างผู้ถูกกดขี่ สื่อสารถึงคุณค่าของสิทธิมนุษยชนและมนุษยธรรมที่ทุกคนพึงมีร่วมกัน และยืนยันว่าในโลกที่เต็มไปด้วยความเงียบ เราต้องส่งเสียงเพื่อหยุดยั้งการละเมิดสิทธิมนุษยชนครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์โลก ร่วมยืนหยัดเคียงข้างผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนในกาซากับแอมเนสตี้ได้ที่นี่  ยุติการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในฉนวนกาซา