svasdssvasds

จะเกิดอะไร? ถ้าสื่อละเลยความเป็นมนุษย์ ในการรายงานความขัดแย้ง

จะเกิดอะไร? ถ้าสื่อละเลยความเป็นมนุษย์ ในการรายงานความขัดแย้ง

ทำข่าวเหมือนเชียร์มวย? เลือกความรักชาติมาก่อนหน้าที่? คำถามต่อ 'สื่อมวลชน' ว่าหากคุณละเลยความเป็นมนุษย์ในการรายงานสถานการณ์ขัดแย้ง จะเกิดอะไรขึ้นตามมา

“การทำข่าวในสถานการณ์ความขัดแย้ง เราต้องพึงระวังให้มาก ต้องตระหนักว่า สื่อมวลชนไม่ควรเสนอข่าวเหมือนเชียร์มวย ต้องไม่เสนอข่าวด้วย Hate Speech (วาทกรรมสร้างความเกลียดชัง) จนเกิดกระแสความเกลียดชัง สถานการณ์แบบนี้สื่อต้องไม่ละเลยความเป็นมนุษย์” ดร. สังกมา สารวัตร อาจารย์ประจำคณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยศิลปากรกล่าว

หลังจากที่ทหารไทยและกัมพูชาเริ่มปะทะกันด้วยอาวุธ ระหว่างวันที่ 24 - 29 ก.ค. 2568 ซึ่งสร้างความสูญเสียกับทหารและพลเรือนผู้บริสุทธิ์จำนวนไม่น้อย ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นตามมาคือ ความดุเดือดของการนำเสนอข่าวจากสื่อมวลชนของทั้งสองประเทศ

#ThaiFightFirst (ไทยสู้ก่อน) #ThailandOpenFire (ประเทศไทยยิงก่อน) #CambodiaOpenedFire (กัมพูชายิงก่อน) และ #กัมพูชายิงก่อน ถูกใช้อย่างแพร่หลายกว่าล้านครั้งโดยสื่อมวลชน อินฟลูเอนเซอร์ รวมไปถึงประชาชน

ดร. สังกมา สารวัตร อาจารย์ประจำคณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยศิลปากร ชี้ว่า การแข่งขันในอุตสาหกรรมสื่อ และความต้องการเอาชนะอัลกอริทึมของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเพื่อแย่งชิงความสนใจของผู้เสพสื่อ เร่งเร้าให้สื่อมวลชนต้องรีบนำเสนอข่าวสารให้เร็ว จนหลายครั้งหลงลืมการตรวจสอบข้อมูลตามหลักวิชาชีพ

“ความจริงแล้วในภาวะขัดแย้งหรือภาวะสงคราม ตามหลักการในการนำเสนอข่าว 70 % ของเนื้อหาควรไปอยู่ที่ผลกระทบ หรือความสูญเสียที่มีต่อประชาชน ที่สำคัญต้องถูกต้อง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมากลายเป็นสื่อมวลชนกลับเสนอข่าวที่กระตุ้นอารมณ์ผู้คนจนนำไปสู่การสร้างความเกลียดชัง เราให้พื้นที่ส่วนนี้มากเกินไป” ดร. สังกมา ระบุ

ความโกรธแค้น, ความเกลียดชัง, ความเกรี้ยวกราด, การกระแนะกระแหนเหน็บแนม และอุดมการณ์ชาตินิยม ถูกผสมเข้ากับการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนอย่างทันทีทันใด

ดังนั้นในช่วงที่ผ่านมา เราจึงได้เห็นการใช้พาดหัวในลักษณะมุ่งเป้า-เลือกข้าง เช่น โป๊ะแตก! กัมพูชาการละคร จัดฉากฟ้องต่างชาติ, เขมรปลุกม็อบชาวบ้าน ประท้วง-กุข่าวเท็จรายวัน ไทยแค่ตั้งรับ-รุกกลับกี่โมง หรือ “กัมพูชา” ลอบกัดสร้างข่าว ฟ้องทูตต่างชาติ

สถานการณ์ปัจจุบัน อาจมีบางบริบทที่เทียบเคียงได้กับงานศึกษาเรื่อง “บทบาทของสื่อในสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองไทย พ.ศ. 2563-2565” ของ อภิเชษฐ์ เกตุมณ ที่ชี้ว่า ในสถานการณ์ขัดแย้ง (ทางการเมือง) ครั้งนั้น สื่อไทยจำนวนหนึ่งเคยนำเสนอข่าวในทิศทางที่ตอบสนองจุดยืนทางการเมืองของตน และมีโอกาสทำให้เกิดปรากฏการณ์ห้องเสียงสะท้อน (Echo Chamber) ที่เป็นผลมาจากอัลกอริทึมของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ทำให้ผู้เสพข่าวอาจได้รับข้อมูลเพียงแง่มุมเดียว

ต่อเรื่องเดียวกัน สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี อดีตบรรณาธิการบริหาร The Nation และผู้สื่อข่าวอาวุโส มองปรากฎการณ์ครั้งนี้ว่า การเสนอข่าวความขัดแย้ง ไทย-กัมพูชา ของสื่อมวลชนได้ละเมิดหลักการวิชาชีพ เพราะติดกับดักคำว่า ‘ผลประโยชน์แห่งชาติ’ ทำให้เกิดการสร้างวาทกรรมต่าง ๆ ทั้งการโจมตี และกลายเป็นส่วนหนึ่ง IO (Information Operation : ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร) ที่ฝ่ายความมั่นคงพยายามดำเนินการ

“สื่อมวลชนละเมิดหลักการที่ได้รับการสั่งสอนอบรมมา ละเลย 3 หลักการใหญ่ คือ 1. รายงานอย่างที่ความจริงเป็น ไม่ใช่อย่างที่เราอยากจะให้เป็น 2. รายงานอย่างซื่อสัตย์ต่อข้อเท็จจริงที่ได้รับมา คือ ต้องตรวจสอบที่มา และตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล และ 3. ความเหมาะควรในการรายงาน คือ เรื่องใดควรรายงานแค่ไหน เรื่องใดไม่ต้องรายงาน เหล่านี้ถูกละเมิดไปทุกข้อ เพราะอุดมการณ์ชาตินิยม และวาทกรรมเสียดินแดนกำกับอยู่ ข่าวเลยมุ่งไปหาสิ่งที่เรียกว่า ผลประโยชน์แห่งชาติ” สุภลักษณ์ กล่าว

อดีตบรรณาธิการบริหาร The Nation ให้ความเห็นว่า การดำรงความเป็นกลางของสื่อแม้จะนิยามยาก แต่สามารถระบุได้ว่าต้องประกอบด้วย 3 ข้อคือ 1. การไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด เป็นการเฉพาะเจาะจง 2. ผู้รายงานข่าวต้องไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนกับผู้ถูกนำเสนอข่าว และ 3. ความถูกต้องแม่นยำ

“พอมีเรื่องผลประโยชน์แห่งชาติทำให้สื่อไทยรายงานเข้าข้างไทย และไม่พยายามตรวจสอบหรือตั้งคำถามต่อฝ่ายไทยเอง การที่สื่อมวลชนไปรับข้อมูล IO ของกองทัพมารายงานข่าวเป็นเรื่องผิด เพราะหน้าที่ของนักข่าวคือตรวจสอบความถูกต้องไม่ว่าจะเป็นข้อมูลจากฝ่ายใด บางที IO อาจจะไม่ได้โกหกหรอก แต่ให้ข้อมูลไม่ครบ เราก็ต้องตรวจสอบว่าข้อมูลนี้ด้วยวิธีต่าง ๆ” สุภลักษณ์ ระบุ

จากการศึกษาการสื่อสารออนไลน์โดย Media Alert กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ร่วมกับ WISESIGHT พบว่า ประเด็นสถานการณ์ไทย-กัมพูชา เป็นประเด็นที่ระหว่างเดือน มิ.ย.-ส.ค. 2568 ที่ได้รับความสนใจบนสื่อออนไลน์มากที่สุด โดย TikTok และ Facebook เป็น 2 แพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมสูงสุด โดย TikTok มีอินฟลูเอนเซอร์เป็นกลุ่มผู้สื่อสารหลัก

“เนื้อหาที่นำเสนอส่วนใหญ่เน้นการสร้างอารมณ์ร่วม และกระตุ้นแนวคิดชาตินิยมอย่างเข้มข้นมากกว่าการให้ข้อมูลเชิงข้อเท็จจริง ดังนั้น สังคมควรจึงควรมีกลไกในการรู้เท่าทันสื่อ รวมถึงการรู้เท่าทันในอคติของตนเอง โดยไม่หลงเชื่อหรือแชร์ข้อมูลที่เร้าอารมณ์ในทันที” งานศึกษาฯ ระบุ

งานศึกษาเดียวกันวิเคราะห์ว่า ข้อความจากสื่อมวลชน และอินฟลูเอนเซอร์ ซึ่งแสดงอารมณ์ที่ชัดเจน เช่น โกรธ เศร้า ตลก ภูมิใจ ตื้นตันใจ มีแนวโน้มที่จะมาพร้อมกับจุดยืนด้านอุดมการณ์ที่ชัดเจน

“จุดยืนที่พบมักเกี่ยวข้องกับการสนับสนุนให้มีการรักษาอธิปไตย การปกป้องชายแดน การตอบโต้ การสนับสนุนหรือให้กำลังใจทหารฝั่งไทย เป็นต้น ซึ่งสะท้อนแนวคิดแบบชาตินิยมในสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ ที่มีแนวโน้มทำให้เกิดการวางกรอบความคิด และการเล่าเรื่องที่แบ่งแยกความเป็นเราและเขาที่ชัดเจน” การวิเคราะห์ระบุ

ท่ามกลางสถานการณ์สู้รบที่ต่อสู้กันทั้งทางอาวุธ และข้อมูลข่าวสาร ทำให้เกิดการเสนอข่าวปลอม หรือข้อมูลที่ผิดพลาดจำนวนไม่น้อย และสื่อมวลชนอาชีพกับอินฟลูเอนเซอร์ ก็รับเอาข่าวนั้นมาเผยแพร่ต่อโดยขาดการตรวจสอบ

ตัวอย่างที่เกิดขึ้นแล้วมีให้เห็นคือ ข่าวทหารไทยสามารถยึดปราสาทตาควายสำเร็จ ก่อนที่ภายหลัง พล.ต. วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก จะยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง, ข่าวกรมศิลปากรพร้อมให้ทําลายปราสาทเพื่อประโยชน์ทางทหาร เพราะสามารถบูรณะใหม่ได้ ที่ภายหลังกรมศิลปากรออกมาชี้แจงว่า ไม่เคยมีแนวคิดดังกล่าว

กระทั่งข่าวปลอมโดยสิ้นเชิง เช่น เรื่องเจ้าจ๋าหมาจรแห่งภูมะเขือที่ช่วยเหลือทหารไทย และถูกยิงเสียชีวิตระหว่างการสู้รบ ที่ไม่สามารถพิสูจน์ข้อมูล และแหล่งที่มาของเรื่องได้ ทั้งภาพประกอบยังเป็นภาพที่ถูกสร้างขึ้นมาจาก AI (Artificial Intelligence : ปัญญาประดิษฐ์)

“ถ้าคุณนำเสนอเพื่อเรียกร้องเอนเกจเมนต์ (Engagement : การโต้ตอบ-การมีส่วนร่วมจากผู้ใช้โซเชียลมีเดีย) หรือยื้อเวลาการออกอากาศให้นานกว่าความจำเป็น ด้วยการตะโกน ประชด คำด่าทอ กระทบกระเทียบ หรือเหยียดเชื้อชาติ มัน Toxic (กระทบต่อจิตใจ หรือเป็นพิษ) สื่อควรเปลี่ยนมานำเสนอข้อมูลแบบรอบด้าน ถูกต้อง ฟังเสียงคนที่ได้รับความทุกข์ คนที่ไม่มีโอกาสพูด คนที่เดือดร้อน มากกว่าเร้าอารมณ์ความเกลียดชัง” ดร. สังกมา ระบุ

อ. สังกมา มองว่า ถ้าสื่อมวลชนยังพยายามนำเสนอข่าวด้วยวิธีเช่นที่ผ่านมา อาจส่งผลกระทบมากกว่าที่คาดได้ ไม่ใช่เพียงผลกระทบด้านข้อมูลข่าวสารเฉพาะช่วงเวลานี้ แต่ส่งผลต่อสังคมในอนาคต

“ชุดความคิดที่สื่อได้สร้าง ความเกลียดชังที่เกิดขึ้นนี้มันจะสั่งสมเป็นการเหยียดเชื้อชาติ เหยียดประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งกระทบต่อโครงสร้างสังคม เศรษฐกิจ จนเป็นผลกระทบทางวัฒนธรรม ฝังไปในคนรุ่นใหม่หลังจากนี้อีกเป็นเวลามากกว่า 10 ปี” ดร. สังกมา กล่าว

ข้อสังเกตของ ดร. สังกมา สอดคล้องกับผลสำรวจของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) เมื่อ 18-19 ส.ค. 2568 จากกลุ่มตัวอย่าง 1,310 ตัวอย่าง ที่พบว่า 54.12 % ของกลุ่มตัวอย่าง คิดว่ากัมพูชาเป็นเพื่อนบ้านที่ไม่ควรคบ 29.39 % เห็นว่า กัมพูชาเป็นเพื่อนบ้านที่คบกันได้ แต่ไม่ควรไว้วางใจ 14.20 % เชื่อว่า กัมพูชาเป็นฝั่งตรงข้าม และมีเพียง 1.91 % ที่ยังมองว่า กัมพูชาเป็นเพื่อนบ้านที่คบกันได้เหมือนเดิม

ปัจจุบัน ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี และการเกิดขึ้นของสื่อสังคมออนไลน์ เช่น เฟซบุ๊ก, เอ็กซ์ (ทวิตเตอร์เดิม), ยูทูป และติ๊กตอก ทำให้เกิดคำพูดที่ว่า ใคร ๆ ก็เป็นสื่อได้ เพราะประชาชน, คนมีชื่อเสียง, นักการเมือง, บริษัทเอกชน แม้กระทั่งส่วนราชการ ก็สามารถนำเสนอข้อมูลที่ตนเองอยากนำเสนอได้

การเปลี่ยนแปลงนี้ได้ปฏิวัติวงการสื่อ และทำให้เกิดสื่อหน้าใหม่ รวมถึง อินฟลูเอนเซอร์ จำนวนมาก แต่สุภลักษณ์ ยังยืนยันว่า สื่อมวลชนอาชีพที่ถูกสอนเรื่องหลักการทำงาน มีจรรยาบรรณ และยึดถือหลักวิชาชีพ จำเป็นอย่างยิ่งในสถานการณ์ความขัดแย้ง

“สื่อมืออาชีพจำเป็นอย่างมาก เพราะการให้อินฟลูเอนเซอร์ นำเสนอข่าวโดยใช้ความชอบกำกับอย่างเดียว พูดสิ่งที่เขาอยากพูดโดยไม่รู้ข้อเท็จจริง และสื่อเองไม่ตั้งคำถาม ไม่พยายามหาข้อมูลมาทัดทาน โต้แย้ง หรือตรวจสอบ จะทำให้เกิดการชี้นำสังคมแบบผิด ๆ สื่อมวลชนที่มีหลักวิชาชีพกำกับอยู่ต้องใช้หลักในการทำงานให้มากขึ้น ช่วยแก้ไขสิ่งผิด การสร้างสังคมที่แตกแยกมันมีราคาที่สังคมต้องจ่าย การหากินกับวาทกรรมปลอม เพื่อเพิ่มเอนเกจเมนต์โดยไม่สนใจผลกระทบก็ไม่ต่างจากแก๊งคอลเซนเตอร์” สุภลักษณ์ ผู้สื่อข่าวอาวุโสระบุ

สุภลักษณ์ ยังเสนอว่า ในสถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น สื่อมวลชนสามารถรักษาหลักการวิชาชีพได้ แม้ในสถานการณ์ที่กองทัพหรือรัฐบาลจะพยายามควบคุมข้อมูลแบบเบ็ดเสร็จ

โดยผู้สื่อข่าวเองต้องพยายามหาข้อมูลเพื่อตรวจสอบคู่ขนานกับข้อมูลของรัฐ พูดคุยกับคนในพื้นที่ ประชาชนที่ได้รับผลกระทบ หรือค้นข้อมูลเอกสาร เพื่อนำเสนอมุมมองที่หลากหลาย หรือฟังความเห็นจากคนกลาง เช่น นักวิชาการ หรือผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศ เพื่อให้ได้มุมมองที่ไม่มีอคติ

สุภลักษณ์ เชื่อว่า ผู้สื่อข่าวสามารถใช้รูปแบบการเปรียบเทียบมุมมองของสื่อต่างประเทศที่มีต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นสำหรับการทำให้รายงานมีความเป็นภาววิสัย หรือนำเสนอตามความจริงโดยไม่มีอคติ และผู้เสพสื่อจะชั่งน้ำหนัก และตัดสินใจเองว่า จะเชื่อถือและให้ความไว้ใจข้อมูลของใคร

สำหรับ การแก้ปัญหาวิกฤตสื่อมวลชนในสถานการณ์ความขัดแย้งระยะยาว อ. สังกมา เห็นว่า สื่อมวลชนและนักวิชาการด้านวารสารศาสตร์ควรใช้โอกาสนี้ในปรับหลักสูตรการสอนด้านสื่อสารมวลชนให้ทันสมัย และเหมาะสมกับสถานการณ์ที่แหลมคม

“คิดว่า สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องเล็ก น่าจะเป็นโอกาสดีที่วงการสื่อมวลชนนำมาศึกษา เพื่อปรับกระบวนทัศน์ และปรับตัวให้เหมาะสมกับภูมิทัศน์สื่อใหม่ ระบบนิเวศสื่อ เพราะสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี มันเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงสังคมวัฒนธรรม และโครงสร้างเศรษฐกิจสังคม นายทุนสื่อเองก็ต้องปรับตัวเช่นกัน รู้ว่าในทางธุรกิจมันยาก แต่การทำงานตรงนี้ก็คล้ายจะเป็นเรื่องอุดมการณ์ เพราะสื่อควรวางตัวเป็นปัญญาชน ซึ่งเจ้าของสื่อต้องให้เวลานักข่าวในหาความรู้ และพัฒนาตัวเอง รวมถึงให้เวลาเขาทำงานด้วย” ดร. สังกมา ระบุ

เมื่อย้อนมอง กรณีที่สื่อมวลชนถูกวิพากษ์-วิจารณ์หลายกรณีในอดีต สิ่งที่ตามมามักเป็นการเรียกร้องให้สร้างมาตรการควบคุมสื่อ แต่สำหรับ สุภลักษณ์ในฐานะผู้ที่อยู่อุตสาหกรรมนี้มาหลายสิบปี ยังเชื่อในเรื่องความอิสระของสื่อมวลชน

“รู้ว่าเดี๋ยวนี้ สื่อต้องทำเพื่อเอนเกจเมนต์ แต่สื่อก็ต้องแม่นในหลักการ แม่นในข้อมูล ต้องยืนยันว่าจะขายความจริง ผมเชื่อว่า เอนเกจเมนต์ที่มั่นคงถาวรต้องยืนยันเรื่องนี้ เพราะถ้ามีคนจับได้ว่าคุณรายงานผิด ขาดความน่าเชื่อถือ เอนเกจเมนต์ที่ได้มาก็จะเป็นเรื่องชั่วคราว” สุภลักษณ์ กล่าว

อดีตบรรณาธิการบริหาร The Nation กล่าวเพิ่มเติมว่า “ผมไม่เห็นด้วยที่จะให้รัฐควบคุมสื่อ องค์กรวิชาชีพสื่อเองก็มีความจำเป็นต้องทำเรื่องนี้ แต่ก็ไม่เห็นด้วยกับการที่ต้องจดทะเบียนเป็นสมาชิก เพราะก็จะทำให้สื่อต้องเข้าสู่ระบบควบคุมที่ใช้อำนาจรัฐอยู่ดี ดังนั้น สิ่งที่ตัวสื่อทำได้คือ ตรวจสอบกันเอง โดยถ้าเราเห็นว่า สื่อหนึ่งลงข่าวผิด อีกสื่อก็ต้องกล้าออกข่าวที่ถูกต้องกว่าเพื่อหักล้างข้อมูล นี่จะเป็นการตรวจสอบซึ่งกันและกันของสื่อ”

ท้ายที่สุดในสถานการณ์ความขัดแย้งอันแหลมคม สุภลักษณ์ ยังพยายามย้ำว่า สื่อมวลชนไม่ควรหลงลืมสิ่งที่สำคัญกว่ายอดเอนเกจเมนต์ และวาทกรรมชาตินิยม นั่นคือ ความเห็นใจต่อเพื่อนมนุษย์ และประชาชนธรรมดาที่ไม่ได้เป็นผู้ริเริ่มความขัดแย้งนี้ ไม่ว่าเราจะรักชาติ หรือหวังดีต่อประเทศเพียงใด

“การนำเสนอ Hate Speech ทำให้เกิดกระแสความเกลียดชัง จนนำไปสู่สิ่งที่เลวร้าย เช่น การไล่เด็กกัมพูชากลับประเทศ(โรงเรียนบัวเชดวิทยา จ.สุรินทร์ 28 ส.ค. 2568) หรือการที่เอาสิ่งปฏิกูลไปฉีดใส่คนกัมพูชา (บ้านหนองจาน จ.สระแก้ว 28 ส.ค. 2568) สื่อมวลชนไม่ควรรักชาติมากจนลืมความเป็นมนุษย์

"คุณต้องไม่ลืมว่า ต่อให้เราเกลียดชังฮุน เซน (อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา) แค่ไหน แต่คนกัมพูชาที่อยู่ตรงนั้นเขาก็ไม่รู้เรื่อง เราจะเกลียดกันมาเพียงใดก็ยกประเทศหนีไม่ได้”