SHORT CUT
สศช. เปิดข้อมูลปี 2567 หรือยุครัฐบาลเพื่อไทย มี 'คนจน' เพิ่มขึ้นเป็น 3.43 ล้านคน หลังประเทศเผชิญพิษเศรษฐกิจ-ภัยธรรมชาติ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยรายงานการวิเคราะห์ สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย ปี 2567 ภายใต้การบริหารของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย นำโดยนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ต่อเนื่องถึงนายกฯ นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร
รายงานพบว่า ประเทศไทยมีจำนวนประชากรที่ถูกจัดให้เป็น 'คนจน' เพิ่มขึ้นราว 1.04 ล้านคน เป็นทั้งหมด 3.43 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 4.89 ของประชากรทั้งประเทศ จากเดิมในปี 2566 ที่มีคนจนราว 2.39 ล้านคน ขณะที่เส้นความยากจนปรับตัวสูงขึ้น มาอยู่ที่ 3,078 บาทต่อคนต่อเดือน โดยคนจนที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นแรงงานในภาคเกษตร
ส่วนกลุ่ม 'คนจนมาก' หรือกลุ่มที่เผชิญกับความยากจนขั้นรุนแรง ก็เพิ่มขึ้นจาก 6.28 แสนคน ในปี 2566 เป็น 8.9 แสนคน หรือร้อยละ 1.25 ของประชากรทั้งหมด ในปี 2567
ขณะที่ค่าใช้จ่ายของครัวเรือนยากจน มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อเดือน อยู่ที่ 7,938 บาท คิดเป็นค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 2,375 บาทต่อคนต่อเดือน โดยส่วนใหญ่ถูกใช้จ่ายเป็นค่าอาหารและเครื่องดื่ม ค่าใช้จ่ายด้านที่อยู่อาศัย ค่าเดินทางและการสื่อสาร
แม้ว่าสถานการณ์ความยากจนของไทยจะมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่การเพิ่มขึ้นของคนจนในปี 2567 นี้ถือเป็นสัญญาณเตือนที่ควรเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจโลก และในประเทศเผชิญกับความไม่แน่นอนจากหลายปัจจัย
หากพิจารณาในภาพรวมระยะยาว จะพบว่าแนวโน้มความยากจนของประเทศยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการเพิ่มขึ้นและลดลงในระยะสั้นสะท้อนให้เห็นถึงลักษณะเชิงพลวัตของความยากจนที่ประชาชนสามารถเปลี่ยนสถานะระหว่าง “จน” และ “ไม่จน” ได้ตามปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ ทั้ง ภาวะเศรษฐกิจโดยรวม, การเข้าไม่ถึงสวัสดิการของรัฐ รวมถึงการเผชิญภัยธรรมชาติ หรือความผันผวนของราคาสินค้าเกษตร ซึ่งหมายความว่าการเพิ่มขึ้นของคนจนในปีนี้อาจเป็นเพียงภาวะชั่วคราวในช่วงเปลี่ยนผ่าน แต่ก็ถือเป็นสัญญาณที่ควรเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
ข้อมูลนี้ยังนับเป็นโอกาสสำคัญที่ภาครัฐควรจะทบทวนการยกระดับมาตรการการคุ้มครองทางสังคม การช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางอย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อให้นโยบายบรรเทาความยากจนของประเทศสามารถขับเคลื่อนได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว