SHORT CUT
ทำความรู้จัก "อังคณา นีละไพจิตร" สตรีนักสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน เจ้าของรางวัลแมกไซไซ จากจุดเปลี่ยนชีวิตหลังการอุ้มหายของสามี สู่การเป็นนักสิทธิมนุษยชน
จากกรณีกระแสร้อนแรงในวงการการเมือง-สังคม เมื่อนางอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา ได้ออกมาตั้งคำถามต่อรัฐบาลอย่างตรงไปตรงมา กรณีปล่อยให้บุคคลหรืออินฟลูเอนเซอร์กระทำการที่อาจสร้างความหวาดกลัวและกดดัน โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่ "กัน จอมพลัง" นำรถเครื่องเสียงเข้าไปเปิดเสียงหลอนใส่พื้นที่ขัดแย้ง จนถึงขั้นกัมพูชาไปร้องเรียนต่อข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ พร้อมตั้งคำถามว่ารัฐบาลไทยจะอธิบายบนเวทีโลกได้อย่างไร
ต่อมา "กัน จอมพลัง" ได้ออกมาสวนกลับทันทีว่า นักสิทธิมนุษยชน "เก่งแต่กับคนไทย" แต่ไม่เคยกล้าพูดถึงความรุนแรงจากฝั่งกัมพูชา ทั้งการอุ้มเด็กและนำผู้หญิงท้องมาอยู่หน้าแนวปะทะ รวมถึงเหตุยิง BM-21 ใส่พลเรือนไทยในอดีต พร้อมเหน็บแรงว่า โลกสวยเกินไปมันก็ไม่ได้ผล
บทบาทหน้าที่ของอังคณา นีละไพจิตร เปลี่ยนไป หลังจากที่ทนายสมชาย นีละไพจิตร ทนายความสิทธิมนุษยชน อดีตรองประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน สภาทนายความ และอดีตประธานชมรมนักฎหมายมุสลิม ได้หายตัวไปในย่านรามคำแหงของกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2547
มีการจับกุมเจ้าหน้าที่ตำรวจ 5 นาย ไม่นานหลังการหายตัวไปของทนายสมชาย โดยถูกกล่าวหาว่าบังคับขืนใจให้เขาเข้าไปในรถยนต์ แต่ต่อมาศาลฎีกาพิพากษาให้ยกฟ้องคดีเมื่อเดือนธันวาคม 2558 เนื่องจากทางครอบครัวไม่มีคำตอบที่ชัดเจนเกี่ยวกับที่อยู่ของทนายสมชาย ทำให้ไม่สามารถเป็นโจทก์แทนทนายสมชายในคดีนี้ได้ และมีคำพิพากษาที่ปฏิเสธสิทธิที่จะยื่นฟ้องคดีต่อศาล
ทนายสมชายเป็นนักกิจกรรมที่มีชื่อเสียง เคลื่อนไหวรณรงค์เพื่อสิทธิของชาวมุสลิม รวมทั้งผู้ที่เคยตกเป็นเหยื่อการทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้ายอย่างอื่น ระหว่างถูกทหารควบคุมตัวในจังหวัดชายแดนของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การประกาศใช้กฎอัยการศึกในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งให้อำนาจอย่างกว้างขวางกับทางการในการควบคุมตัวบุคคลเป็นเวลาเจ็ดวันในค่ายทหารโดยไม่ต้องมีข้อหา