
SHORT CUT
ปิแอร์ บัลแมง ดูแลฉลองพระองค์กว่า 22 ปี ผสานผ้าไทยมัดหมี่ สู่โลกแฟชั่นคลาสสิกเหนือกาลเวลา สู่มรดกทางวัฒนธรรม บทบาทบัลแมงกับวิสัยทัศน์แฟชั่นของสมเด็จพระพันปีหลวง
พ.ศ. 2503 โลกกำลังจับตามองเอเชีย และประเทศไทยกำลังจะก้าวสู่เวทีโลกอย่างเป็นทางการครั้งสำคัญ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ซึ่งในขณะนั้นยังทรงเป็นสมเด็จพระบรมราชินีนาถที่พระสิริโฉมงดงามและพระชนมพรรษาน้อย ทรงตระหนักว่าการเสด็จฯ เยือน 14 ประเทศในครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การทูต แต่คือการ 'นำเสนอภาพลักษณ์' ของชาติไทยทั้งชาติ
จะทำอย่างไรให้ฉลองพระองค์สามารถสื่อสาร "ความเป็นไทย" ที่สากลเข้าใจได้ โดยไม่สูญเสียรากเหง้า และต้องสง่างามพอที่จะยืนอยู่บนเวทีเดียวกับผู้นำโลกและราชวงศ์ยุโรป?
นี่คือจุดเริ่มต้นของ 'การทูตเชิงแฟชั่น' (Fashion Diplomacy) ที่มาก่อนกาล และเป็นที่มาของการตัดสินพระทัยครั้งประวัติศาสตร์ในการเลือก ปิแอร์ บัลแมง"
จุดเริ่มต้นของความร่วมมือด้านศิลปะแฟชั่นนี้คือการเสด็จฯ เยือนสหรัฐอเมริกาและประเทศในยุโรป 14 ประเทศอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2503 พระองค์ทรงตระหนักถึงพลังของ “ภาพลักษณ์” และ “แฟชั่น” ในฐานะ “ภาษาการทูต” หรือภาษาสากลที่สามารถสะท้อนความงามและความเป็นตัวตนของชาติได้โดยไม่ต้องใช้คำพูด
การตัดสินพระทัยเลือกปิแอร์ บัลแมง ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งใน คูตูริเยร์ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 20 สะท้อนถึง พระอัจฉริยภาพและรสนิยม ที่ผ่านการพิจารณาอย่างรอบคอบ
บัลแมง มีชื่อเสียงใน “สไตล์สุภาพสตรีผู้สง่างาม” (Jolie Madame style) ซึ่งเน้นความสง่างาม อ่อนช้อย แต่เปี่ยมด้วยความมั่นคง สไตล์ที่เรียบง่ายและ คลาสสิกของบัลแมง เหมาะสมกับบทบาทของ “สมเด็จพระราชินีผู้ทรงเป็นแบบอย่างแห่งศีลปวัฒนธรรม”
สไตล์นี้ตรงกันข้ามกับ New Look ของ Dior ที่เน้นความฟู่ฟ่า หรือดีไซเนอร์สายทดลองคนอื่นๆ แต่ 'Jolie Madame' คือภาพลักษณ์ของสตรีสูงศักดิ์ที่มั่นคง อ่อนโยน แต่เปี่ยมด้วยอำนาจ
บัลแมงจึงเป็น 'สถาปนิก' ที่สมบูรณ์แบบในการสร้างโครงแบบตะวันตก เพื่อรองรับจิตวิญญาณแบบตะวันออก นั่นคือ "ผ้าไหมไทย"
นอกจากนี้ ช่างไทยในยุคนั้นอาจยังขาดความชำนาญในการตัดเย็บฉลองพระองค์ที่ต้องเข้ากับวาระ โอกาส หรือภูมิอากาศที่แตกต่างกันในการเสด็จฯ ต่างประเทศ
สมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงมีพระราชประสงค์ให้ภาพลักษณ์ที่ออกมาสื่อถึง “ความเป็นไทยร่วมสมัย” โดยพระองค์โปรดให้นำผ้าไหมไทย มาตัดเย็บเป็นฉลองพระองค์แบบสากล เพื่อเป็นเครื่องมือในการ เผยแพร่ ผ้าไทย และ สนับสนุนให้ชาวบ้านทอผ้าเป็นอาชีพเสริม
ฉลองพระองค์เหล่านี้มี 'ผ้าไทย' เป็นหัวใจหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผ้าไหมมัดหมี่ ซึ่งเป็นผลมาจากการเสด็จฯ เยี่ยมราษฎรผู้ประสบอุทกภัยในปี พ.ศ. 2513 และเป็นที่มาของการก่อตั้งมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ
พระองค์ทรงใช้ผ้าเหล่านี้มาตัดเย็บเป็นฉลองพระองค์เพื่อเป็น แบบอย่าง และเป็นกุศโลบายในการเผยแพร่ว่าผ้าไทยสามารถนำมาตัดเป็นแฟชั่นแบบร่วมสมัยได้
ความอัจฉริยะที่แท้จริงของความร่วมมือนี้ คือการที่บัลแมง 'ไม่ได้' พยายามเปลี่ยนผ้าไทยให้เป็นผ้าตะวันตก แต่เขา 'เคารพ' ในเอกลักษณ์ของผ้า และใช้โครงสร้างแบบกูตูร์เพื่อ 'ขับเน้น' ความงามของผ้าไทยให้เปล่งประกาย
ความงดงามของฉลองพระองค์ชุดราตรีแบบสากลที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ผ้าฯ นั้น เป็นผลงานการหลอมรวมศิลปะของบัลแมงกับงานปักของ ฟร็องซัว เลอซาจ (François Lesage) ช่างปักชาวฝรั่งเศส เลอซาจได้ใช้เทคนิคการปักที่ละเอียดลออด้วยวัสดุหรูหรา เช่น ลูกปัด เลื่อม คริสตัล และดิ้นโลหะ โดยได้รับ แรงบันดาลใจจากศิลปะไทยดั้งเดิม
ความร่วมมือนี้ได้สร้างสรรค์ผลงานที่ โลกจดจำในฐานะ “แฟชั่นแห่งอัตลักษณ์ไทย”
พระราชกรณียกิจเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นการอนุรักษ์ผ้าไทยให้คงอยู่เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมของชาติ แต่ยังเป็นการ "สร้าง Soft Power ที่มา ‘ก่อนคำว่า Soft Power’ เสียอีก"
นอกเหนือจากการใช้ผ้าไทยในการตัดเย็บฉลองพระองค์แล้ว, พระองค์ยังทรงมีพระราชดำริให้มี การออกแบบชุดไทยพระราชนิยม 8 แบบ (เช่น ชุดไทยจักรี ชุดไทยดุสิต ชุดไทยบรมพิมาน) เพื่อให้สตรีไทยมีชุดประจำชาติที่เป็นเอกลักษณ์ ฉลองพระองค์เหล่านี้จัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ผ้าในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ณ หอรัษฎากรพิพัฒน์ ในพระบรมมหาราชวัง
ความร่วมมืออันยิ่งใหญ่ระหว่างสมเด็จพระนางเจ้าฯ ปิแอร์ บัลแมง และช่างหัตถศิลป์ไทย จึงเป็นมากกว่าประวัติศาสตร์ของแฟชั่นชั้นสูง หากเป็นการสะท้อนถึง พระราชปณิธานอันแน่วแน่ และพระวิสัยทัศน์ที่ก้าวล้ำเกินยุคสมัย
การที่พระองค์ทรงเห็นคุณค่าของผืนผ้าในท้องถิ่น และทรงนำไปผสานกับแฟชั่นสากล ทำให้ผ้าไทยได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่คนทั้งโลกยอมรับ
ความสัมพันธ์ยาวนาน 22 ปี ระหว่างสมเด็จพระพันปีหลวงฯ และปิแอร์ บัลแมง จึงเป็นมากกว่าเรื่องราวแฟชั่น แต่คือ 'ตำนาน' ของวิสัยทัศน์ที่มาก่อนกาล
นี่คือ 'Soft Power' ที่แท้จริง การที่สื่อทั่วโลกขนานนามพระองค์ว่า 'The Most Beautiful Queen' และการได้รับจารึกพระนามใน 'International Best Dressed List' ไม่ใช่แค่คำชื่นชมพระสิริโฉม แต่คือการที่โลก 'ยอมรับ' รสนิยมและ 'ผ้าไหมไทย' ไปพร้อมกัน 'Thai Silk' กลายเป็นคำที่มีมูลค่าทางการตลาดมหาศาล และเป็นที่ต้องการในตลาดโลก
พิพิธภัณฑ์ผ้าฯในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ กิจกรรมเสวนาในโอกาสที่มีการเปลี่ยนฉลองพระองค์ชุดราตรี 9 องค์ ที่ออกแบบโดย ปิแอร์ บัลแมง (Pierre Balmain) ซึ่งเป็นนักออกแบบชาวฝรั่งเศสผู้ดูแลการตัดเย็บฉลองพระองค์ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง มาเป็นระยะเวลายาวนานกว่า 22 ปี ความร่วมมือครั้งนี้ได้กลายเป็น หมุดหมายสำคัญ ที่นำพาประเทศไทยเข้าสู่แฟชั่นโลก
พิพิธภัณฑ์ผ้าในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา 09.00-16.30 น. ปิดจำหน่ายบัตรเข้าชมรอบสุดท้าย เวลา 15.30 น.
ที่มา : museumthailand, Tatler