
SHORT CUT
พระนพปฎลมหาเศวตฉัตร เครื่องยศสูงสุด ถูกถวายแด่ "แม่แห่งแผ่นดิน" เป็นกรณีพิเศษเพื่อเทิดพระเกียรติคุณูปการอันยิ่งใหญ่ นับเป็นครั้งแรกที่พระบรมวงศ์ฝ่ายในไ
ในราชสำนักไทย เครื่องสูงและเครื่องราชกกุธภัณฑ์มิได้เป็นเพียงวัตถุที่ใช้ประดับประดาในพระราชพิธีเท่านั้น หากแต่เป็นสัญลักษณ์ทางกายภาพที่แสดงออกถึงพระราชอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ สถานะแห่งสมมติเทพ และอาณาเขตที่องค์พระมหากษัตริย์ทรงปกครองดูแล เครื่องสูงเหล่านี้จึงเปี่ยมไปด้วยความหมายเชิงคติที่สืบทอดมายาวนานหลายศตวรรษ
ในบรรดาเครื่องสูงทั้งหลาย พระนพปฎลมหาเศวตฉัตร หรือฉัตรขาว ๙ ชั้น ถือเป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์สูงสุด เป็นเครื่องหมายแห่งพระเกียรติยศที่สูงส่งที่สุด และเป็นสัญลักษณ์ของการขึ้นครองราชย์โดยสมบูรณ์
การประดิษฐานฉัตร ๙ ชั้นเหนือพระโกศ เป็นหนึ่งในขั้นตอนสุดท้ายที่เปี่ยมด้วยความสง่างามและความจงรักภักดีสูงสุด การทำความเข้าใจในบริบทนี้จึงจำเป็นต้องย้อนกลับไปทำความเข้าใจถึงรากฐานทางคติของ "ฉัตร" ที่มีมาตั้งแต่โบราณ และการวิวัฒนาการของราชประเพณีในยุคสมัยต่างๆ
ฉัตร เป็นเครื่องสูงที่มีรากฐานมาจากความเชื่อในอินเดียโบราณ ซึ่งมีความหมายของการปกป้องและเป็นสัญลักษณ์ของเกียรติยศ การวิวัฒนาการของสัญลักษณ์นี้มีความน่าสนใจอย่างยิ่ง ตั้งแต่สิ่งที่ใช้ในชีวิตประจำวันจนกลายเป็นเครื่องหมายแห่งอำนาจสูงสุด
แนวคิดเรื่องการใช้ฉัตรเริ่มจากความจำเป็นในการปกป้องศีรษะ ซึ่งถือเป็นของสำคัญตามความเชื่อโบราณ ในอดีต เมื่อยังไม่มีร่ม ผู้คนที่มีฐานะสูงหรือเป็นผู้นำจะใช้ใบบัวหรือวัตถุอื่นบังแดดให้แก่ตนเอง หรือให้บ่าวไพร่ถือบังให้ เมื่อมีการประดิษฐ์ร่มขึ้นใช้แทนใบบัว ร่มจึงกลายเป็นเครื่องหมายของผู้นำและผู้มีอำนาจ
ต่อมา แนวคิดนี้ได้ผนวกเข้ากับเรื่องการสงคราม ดังที่ ม.จ.หญิงพูนพิศมัย ดิศกุล ได้ทรงเขียนไว้ในนิพนธ์เรื่อง "พระมหาเศวตฉัตร" อธิบายว่า เมื่อฝ่ายชนะยึดร่มของฝ่ายแพ้มาได้ ร่มเหล่านั้นก็จะถูกจัดให้มีคนถือตามไปในขบวนแห่เพื่อประกาศชัยชนะ การถือร่มเข้ากระบวนจึงกลายเป็นเกียรติยศของผู้เป็นประธานในกระบวน
ในราชสำนักสยาม ได้มีการปรับปรุงการใช้ร่มหลายคันในการแห่แบบจีนหรือญวน ซึ่งทรงเห็นว่าไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยและปิดบังผู้เป็นประธาน จึงได้คิดนำร่มเหล่านั้นมาซ้อนกันเป็นเถา เรียกว่า "ฉัตร" ซึ่งเป็นการรวมนัยยะแห่งการปกป้องและเกียรติยศเข้าไว้ด้วยกันในโครงสร้างเดียว
จำนวนชั้นของฉัตรนั้นมีความสำคัญทางคติอย่างยิ่ง โดยหมายถึงการเป็นผู้มีชัยเหนือทิศต่างๆ ตามคตินิยมถือว่า ฉัตรแต่ละชั้นนอกเหนือจากชั้นที่เป็นของผู้ครองฉัตรเองแล้ว หมายถึงการเป็นผู้ชนะในจำนวนทิศที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ฉัตร ๙ ชั้น จึงมีความหมายถึงผู้ทรงมีชัยชนะใน ๘ ทิศ คือทิศหลักทั้งสี่และทิศเฉียงทั้งสี่ ซึ่งเป็นการประกาศพระราชอำนาจที่ครอบคลุมเหนืออาณาจักรทั้งหมดหรือเหนือจักรวาลอย่างสมบูรณ์ ความหมายนี้สอดคล้องกับแนวคิดการเป็นพระมหากษัตริย์ตามคติสมมติเทพ ที่ทรงเป็นศูนย์กลางแห่งจักรวาลและทรงดำรงอยู่ในสถานะสูงสุด
รูปลักษณ์ของพระนพปฎลมหาเศวตฉัตรที่เราเห็นในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในสมัยรัตนโกสินทร์ ในช่วงต้นรัตนโกสินทร์ ฉัตร ๙ ชั้นดั้งเดิมเคยหุ้มด้วย "ผ้าตาด" สีทอง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งและโอ่อ่าแบบดั้งเดิม
อย่างไรก็ตาม ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) ได้โปรดเกล้าฯ ให้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ โดยเปลี่ยนมาใช้ "ผ้าขาวขลิบทองแผ่ลวด" มีระบายสามชั้น และห้อยอุบะจำปาทอง ยอดฉัตรถูกทำเป็นรูปแหลมทรงเจดีย์งดงาม
การเปลี่ยนแปลงจากผ้าตาดสีทองเป็นผ้าขาวบริสุทธิ์ในรัชกาลที่ ๔ นี้ เป็นการสะท้อนแนวคิดใหม่ที่ผสานความสง่างามแบบดั้งเดิมเข้ากับความเรียบง่ายและบริสุทธิ์ ซึ่งอาจได้รับอิทธิพลบางส่วนจากแนวคิดตะวันตกในช่วงเวลาที่สยามกำลังเริ่มเปิดรับโลกสมัยใหม่
ผ้าขาวจึงเสริมภาพลักษณ์ของพระมหากษัตริย์ผู้ทรงคุณธรรมและบริสุทธิ์ ขณะที่ยังคงรักษาโครงสร้างและนัยยะแห่งอำนาจสูงสุดตามราชประเพณีไว้อย่างมั่นคง
พระนพปฎลมหาเศวตฉัตร ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องประกอบยศ แต่ถูกจัดให้เป็นหนึ่งในเครื่องราชกกุธภัณฑ์ ซึ่งมีความสำคัญสูงสุดในการยืนยันพระราชอำนาจ
บทบาทหลักของฉัตร ๙ ชั้นคือการถูกใช้ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เมื่อพระมหากษัตริย์ทรงรับน้ำอภิเษกแล้ว พระราชครูพราหมณ์จะเชิญฉัตรนี้ขึ้นถวายเหนือพระเศียร การกระทำนี้ถือเป็นสัญลักษณ์แห่ง "การขึ้นครองราชย์โดยสมบูรณ์" และเป็นการรับรองว่าพระองค์ทรงได้รับพระราชอำนาจอย่างเต็มที่แล้ว
ฉัตร ๙ ชั้นจึงมีความสำคัญยิ่งกว่าเครื่องราชกกุธภัณฑ์ชิ้นอื่นๆ เพราะเป็นเครื่องหมายแห่งความเป็นพระมหากษัตริย์โดยสมบูรณ์ (แสดงความเป็นพระมหากษัตริย์โดยสมบูรณ์) ควบคู่ไปกับการรับเครื่องราชกกุธภัณฑ์อื่นๆ เช่น พระแสงขรรค์ชัยศรีและพระมหาเศวตฉัตร
หลังจากพระราชพิธีบรมราชาภิเษกแล้ว พระนพปฎลมหาเศวตฉัตรจะถูกนำไปประดิษฐานในสถานที่สำคัญต่างๆ เพื่อแสดงถึงพระราชอำนาจที่แผ่ไพศาลไปทั่วราชอาณาจักรและในทุกส่วนของพระราชฐาน
สถานที่สำคัญที่ต้องมีการกางกั้นฉัตร ๙ ชั้นเหนือพระราชบัลลังก์หรือพระแท่นที่ประทับ ได้แก่ พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน (เหนือพระแท่นบรรทม), พระที่นั่งไพศาลทักษิณ, พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย 2, พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท และพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
การประดิษฐานในสถานที่เหล่านี้เป็นการย้ำเตือนอย่างต่อเนื่องถึงสถานะสูงสุดของพระมหากษัตริย์ในทั้งกิจวัตรส่วนพระองค์และพระราชพิธีสำคัญ
ความสำคัญของฉัตร ๙ ชั้นจะชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับฉัตรชั้นอื่นๆ ที่ใช้ในราชสำนัก ราชประเพณีกำหนดลำดับชั้นของพระเศวตฉัตรไว้อย่างเคร่งครัด โดยจำนวนชั้นที่ลดหลั่นลงไปแสดงถึงพระเกียรติยศที่รองลงมาจากพระมหากษัตริย์
สัปตปฎลเศวตฉัตร หรือฉัตรขาว ๗ ชั้น เป็นเครื่องสูงที่ใช้สำหรับพระบรมราชินีนาถ พระบรมราชินี พระบรมราชชนนี และสยามมกุฎราชกุมาร ในขณะที่พระบรมวงศานุวงศ์ชั้นอื่นๆ อาจทรงใช้ฉัตร ๕ ชั้น หรือน้อยกว่า ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ฉัตร ๙ ชั้นถูกสงวนไว้สำหรับพระมหากษัตริย์ผู้ทรงบรมราชาภิเษกแล้วเท่านั้น
การกางกั้นพระนพปฎลมหาเศวตฉัตรเหนือพระโกศ เป็นประเพณีที่เน้นย้ำถึงนัยยะสำคัญทางคติอย่างลึกซึ้ง นั่นคือ การรักษาและยืนยันสถานะความเป็นสมมติเทพของพระมหากษัตริย์ แม้ในวาระที่เสด็จสวรรคตแล้วก็ตาม
เมื่อพระมหากษัตริย์เสด็จสวรรคต พระนพปฎลมหาเศวตฉัตรจะถูกย้ายจากพระราชบัลลังก์มาประดิษฐานกางกั้นเหนือพระบรมโกศ และกางกั้นเหนือพระจิตกาธานในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ
การกางกั้นนี้ไม่ใช่แค่การแสดงความเคารพ แต่เป็น "เครื่องหมายแห่งความต่อเนื่องของราชประเพณี" และ "สัญลักษณ์ของการปกป้องครั้งสุดท้ายจากสวรรค์" การคงไว้ซึ่งฉัตร ๙ ชั้นเหนือบรมโกศ เป็นการประกาศต่อทั้งโลกและจักรวาลว่า พระบรมศพที่บรรจุอยู่ในพระโกศนั้นยังคงดำรงสถานะเป็นประมุขสูงสุด ไม่ว่าพระองค์จะทรงอยู่ในระหว่างการเปลี่ยนผ่านสู่สรวงสวรรค์
ธรรมเนียมการใช้ฉัตร ๙ ชั้นกางกั้นเหนือพระโกศมีหลักฐานยืนยันมาอย่างยาวนานในราชอาณาจักร การวิเคราะห์ทางประวัติศาสตร์ระบุว่า การปฏิบัติเช่นนี้ไม่ได้เป็นธรรมเนียมที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ แต่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยโบราณ
เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค) ได้บันทึกไว้ในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ว่ามีการกางกั้นพระนพปฎลมหาเศวตฉัตรเหนือพระโกศพระบรมศพในพระเมรุทอง (เช่น ในการถวายพระเพลิงสมเด็จพระเพทราชาใน พ.ศ. ๒๓๕๔) สิ่งนี้ยืนยันว่า การกางกั้นฉัตร ๙ ชั้นเหนือพระบรมโกศเป็นส่วนสำคัญของพระราชพิธีพระบรมศพตามคติที่ปฏิบัติสืบมาในราชสำนักสยาม
นอกจากนี้ ในส่วนของสถาปัตยกรรมพระเมรุมาศ ฉัตรและธงจะถูกใช้ประดับตกแต่งตามขอบเขตของราชวัติ ซึ่งรายล้อมพระเมรุมาศ เพื่อเป็นการกำหนดอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ที่ตรงกับคติการเป็นศูนย์กลางของโลกและจักรวาล การใช้ฉัตรในพิธีศพจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญที่เชื่อมโยงพิธีการบนโลกมนุษย์เข้ากับคติความเชื่อเรื่องสวรรค์และจักรวาล
การคงอยู่ของฉัตร ๙ ชั้นเหนือพระบรมโกศ เป็นการแสดงให้เห็นถึงความเชื่อเรื่อง ความต่อเนื่องแห่งราชอำนาจ (Seamless Sovereignty) สถานะสูงสุดที่พระมหากษัตริย์ได้รับในพิธีบรมราชาภิเษกนั้น ไม่ได้สิ้นสุดลงด้วยความตายทางกายภาพ แต่ยังคงอยู่ตลอดช่วงพระราชพิธีพระบรมศพจนกว่าจะเสร็จสิ้นการถวายพระเพลิง
ฉัตร ๙ ชั้นนี้ทำหน้าที่เป็นร่มเงาของสวรรค์ ที่ปกป้องพระบรมอัฐิและพระวิญญาณของพระมหากษัตริย์ในขณะเสด็จสู่สวรรคาลัย พิธีนี้จึงเป็นพิธีกรรมที่ยืนยันว่าพระองค์ยังคงเป็น สมมติเทพ ที่ครองอำนาจเหนือจักรวาลอย่างสมบูรณ์ และกำลังเดินทางกลับสู่สรวงสวรรค์
แม้ว่าราชประเพณีจะกำหนดให้พระนพปฎลมหาเศวตฉัตรเป็นเครื่องยศสำหรับพระมหากษัตริย์เท่านั้น แต่ในช่วงเวลาที่ผ่านมาได้เกิดเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่แสดงให้เห็นถึงพระราชอำนาจในการพระราชทานเกียรติยศสูงสุดเป็นกรณีพิเศษ
โดยปกติแล้ว ตามธรรมเนียมการใช้เครื่องสูงในงานพระศพของพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายในที่มีพระเกียรติยศชั้นสูง เช่น สมเด็จพระบรมราชินีนาถ หรือพระบรมราชชนนี จะได้รับพระราชทาน สัปตปฎลเศวตฉัตร หรือฉัตร ๗ ชั้น ซึ่งเป็นเครื่องยศที่สูงรองลงมาจากพระมหากษัตริย์
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ เมื่อครั้ง พระเจ้าบรมมหัยยิกาเธอ กรมสมเด็จพระสุดารัตนราชประยูร สิ้นพระชนม์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) โปรดเกล้าฯ ให้ถวายพระเกียรติยศด้วยฉัตร ๗ ชั้นเหนือพระบรมโกศ การกระทำเช่นนี้เป็นไปตามหลักการจัดลำดับยศที่กำหนดไว้ในพระราชกำหนด
เหตุการณ์สำคัญที่ในประวัติศาสตร์ของเครื่องสูงนี้เกิดขึ้นเมื่อมีการถวายพระนพปฎลมหาเศวตฉัตร (ฉัตร ๙ ชั้น) แด่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
นี่นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีการถวายฉัตร ๙ ชั้น ซึ่งเป็นเครื่องยศสำหรับพระมหากษัตริย์โดยเฉพาะแด่พระบรมวงศ์ฝ่ายใน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ถวายพระเศวตฉัตร ๙ ชั้น กางกั้นเหนือพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
การตัดสินใจถวายพระเกียรติยศด้วยฉัตร ๙ ชั้นนี้ เป็นกรณีพิเศษและเป็นพระราชดำริที่แสดงถึงการยกย่องสูงสุด โดยเป็นการถวายพระเกียรติยศเทียบเท่าพระมหากษัตริย์
พระเกียรติคุณของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวงในฐานะ "แม่แห่งแผ่นดิน" นั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าธรรมเนียมยศชั้นรองที่กำหนดไว้ การพระราชทานเครื่องยศสูงสุดจึงเป็นการสะท้อนถึงพระราชจริยวัตรอันยิ่งใหญ่และคุณูปการของพระองค์ต่อประเทศชาติ
พระนพปฎลมหาเศวตฉัตรเป็นยิ่งกว่าเครื่องสูงในพระราชพิธี เป็นสัญลักษณ์ที่รวบรวมประวัติศาสตร์ คติความเชื่อ และปรัชญาการปกครองของราชอาณาจักรไทยเข้าไว้ด้วยกัน ในแง่ของประวัติที่มา ฉัตรได้วิวัฒนาการจากเครื่องป้องกันธรรมดาไปสู่เครื่องหมายแห่งการพิชิตทั้งแปดทิศ ก่อนจะได้รับการปฏิรูปให้มีความบริสุทธิ์สง่างามในสมัยรัตนโกสินทร์
การกางกั้นพระเศวตฉัตร ๙ ชั้นเหนือพระบรมโกศ จึงเป็นพิธีกรรมที่ทรงพลังและมีความหมายอย่างลึกซึ้ง เป็นการประกาศว่าราชอำนาจและพระเกียรติยศของพระมหากษัตริย์นั้นยังคงไม่เสื่อมคลาย แม้หลังจากการเสด็จสวรรคตแล้วก็ตาม สัญลักษณ์นี้ทำหน้าที่เป็นร่มเงาแห่งจักรวาล คุ้มครองพระบรมศพตลอดการเปลี่ยนผ่านจากโลกมนุษย์สู่สรวงสวรรค์
นอกจากนี้ การถวายพระนพปฎลมหาเศวตฉัตรแก่พระบรมวงศ์ฝ่ายในเป็นกรณีพิเศษแสดงให้เห็นว่า แม้ราชประเพณีจะมีหลักการที่เคร่งครัด แต่ก็สามารถในการปรับตัวเพื่อยกย่องพระเกียรติคุณอันยิ่งใหญ่ของ "แม่แห่งแผ่นดิน" ซึ่งมีคุณูปการเทียบเท่าผู้ทรงราชย์ ทำให้พระเศวตฉัตร ๙ ชั้นยังคงเป็นเครื่องหมายสูงสุดแห่งพระเกียรติยศที่สถิตอยู่ในใจคนไทยตลอดไป
อ้างอิง
SP / PH / MOI / ฉัตร / PostToday / Pub / Fin / Mati /