SHORT CUT
หลังสมรสเท่าเทียม: กฎหมาย LGBTQ+ ไทย เดินหน้าต่อ! ส่องร่าง กม.ขจัดเลือกปฏิบัติ, รับรองเพศสภาพ, Hate Crime, อุ้มบุญ เพื่อสิทธิที่เท่าเทียมรอบด้าน
การประกาศใช้พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567 หรือที่รู้จักกันในนาม "กฎหมายสมรสเท่าเทียม" นับเป็นหมุดหมายสำคัญในประวัติศาสตร์สิทธิมนุษยชนของประเทศไทย โดยกฎหมายฉบับนี้ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2567 และวุฒิสภาได้ให้ความเห็นชอบในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2567
สาระสำคัญของกฎหมายคือการแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) ให้ "บุคคลสองคน" สามารถทำการสมรสกันได้ตามกฎหมาย โดยมีการปรับเปลี่ยนถ้อยคำจากเดิมที่ระบุเฉพาะ "ชาย-หญิง" หรือ "สามี-ภรรยา" เป็นคำที่เป็นกลางทางเพศ เช่น "บุคคล" และ "คู่สมรส" พร้อมทั้งปรับอายุขั้นต่ำในการสมรสเป็น 18 ปีบริบูรณ์ สิทธิที่คู่สมรสจะได้รับภายใต้กฎหมายนี้ครอบคลุมหลายด้าน อาทิ สิทธิในการจดทะเบียนสมรส การจัดการทรัพย์สินสินสมรส การรับมรดก สิทธิในการตัดสินใจเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลของอีกฝ่าย สิทธิในการรับสวัสดิการจากรัฐในฐานะคู่สมรส และที่สำคัญคือสิทธิในการรับบุตรบุญธรรมร่วมกัน
ความสำเร็จในการผลักดันกฎหมายสมรสเท่าเทียมไม่เพียงแต่เป็นการยกระดับการคุ้มครองสิทธิของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+) ในประเทศไทย แต่ยังทำให้ประเทศไทยได้รับการยอมรับในระดับสากลในฐานะประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นประเทศที่สามในทวีปเอเชีย (ต่อจากไต้หวันและเนปาล) ที่มีการรับรองการสมรสของบุคคลเพศเดียวกันอย่างถูกกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม การเดินทางสู่ความเท่าเทียมทางเพศอย่างแท้จริงและรอบด้านยังคงเป็นเส้นทางที่ท้าทาย แม้กฎหมายสมรสเท่าเทียมจะเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ แต่ก็เป็นเพียง "จุดเริ่มต้น" ของการปฏิรูปโครงสร้างทางกฎหมายในวงกว้าง เนื่องจากกฎหมายสมรสเท่าเทียมมุ่งเน้นการแก้ไข ป.พ.พ. เป็นหลัก แต่สิทธิอื่นๆ ที่เชื่อมโยงกับสถานะบุคคลและการสมรสยังคงถูกกำหนดไว้ในกฎหมายเฉพาะอีกหลายฉบับ ซึ่งอาจยังคงมีการใช้ถ้อยคำที่อ้างอิงเพศกำเนิดหรือจำกัดสิทธิบนฐานของเพศสภาพแบบเดิม
นักวิชาการและภาคประชาสังคมได้ชี้ให้เห็นว่าอาจจำเป็นต้องมีการทบทวนและแก้ไขกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีกกว่า 50 ฉบับ เพื่อให้การคุ้มครองสิทธิของบุคคล LGBTQ+ เป็นไปอย่างสมบูรณ์และสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายสมรสเท่าเทียม
การผลักดันกฎหมายเพิ่มเติมนี้สะท้อนให้เห็นถึงความตื่นตัวและการทำงานอย่างต่อเนื่องของภาคประชาสังคม ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนประเด็นสิทธิ LGBTQ+ มาอย่างยาวนาน รวมถึงเป็นแรงผลักดันให้รัฐบาลและรัฐสภาต้องดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อสร้างสังคมที่เคารพความหลากหลายและให้ความเป็นธรรมแก่ทุกคน
การมีผลบังคับใช้ของพระราชบัญญัติสมรสเท่าเทียมได้สร้างบรรยากาศแห่งความหวังและเป็นแรงผลักดันสำคัญให้เกิดการทบทวนและปฏิรูปกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับความเท่าเทียมทางเพศในประเทศไทยอย่างกว้างขวาง
เนื่องจากกฎหมายสมรสเท่าเทียมนั้นแก้ไขประเด็นสิทธิในฐานะ "คู่สมรส" ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เป็นหลัก แต่ยังคงมีช่องว่างทางกฎหมายอีกหลายประการที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขเพื่อให้การคุ้มครองสิทธิของบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศเป็นไปอย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ
ตัวอย่างเช่น ประเด็นการรับรองอัตลักษณ์ทางเพศตามกฎหมาย (Legal Gender Recognition) ซึ่งจะส่งผลต่อการแก้ไขข้อมูลในเอกสารราชการให้ตรงกับเพศสภาพของบุคคล การคุ้มครองจากการเลือกปฏิบัติในหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นในด้านการจ้างงาน การศึกษา การเข้าถึงบริการสุขภาพและบริการสาธารณะอื่นๆ รวมถึงการจัดการกับอาชญากรรมที่เกิดจากความเกลียดชังหรืออคติทางเพศ (Hate Crime) ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายเฉพาะรองรับ
เป็นที่น่าสังเกตว่า พระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีอยู่เดิม ก็ยังมีข้อจำกัดบางประการ โดยเฉพาะในมาตรา 17(2) ที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ในการปฏิเสธการรับเรื่องร้องเรียนกรณีการเลือกปฏิบัติทางเพศ หากอ้างอิง "หลักการทางศาสนา" หรือ "ความมั่นคงของชาติ" ซึ่งองค์กรสิทธิมนุษยชน เช่น แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ได้ชี้ว่าเป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงความยุติธรรมของผู้ได้รับผลกระทบ
การขับเคลื่อนกฎหมายเพิ่มเติมเหล่านี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือของหลายภาคส่วน ทั้งภาคประชาสังคม รัฐบาล รัฐสภา คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และพรรคการเมืองต่างๆ โดยภาคประชาสังคมยังคงเป็นกำลังสำคัญในการผลักดันและเสนอร่างกฎหมาย เช่น โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) และเครือข่าย Intersex Thailand ที่ร่วมกันเสนอร่างพระราชบัญญัติรับรองอัตลักษณ์ทางเพศสภาพฉบับภาคประชาชน ขณะที่ ILGA Asia และสมาคมฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทย (RSAT) ได้ยื่นข้อเสนอต่อรัฐสภาเกี่ยวกับกฎหมายอาชญากรรมจากความเกลียดชังและการคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชน องค์กร APCOM ก็มีบทบาทในการผลักดันวาระ LGBTQI ทั้งในระดับประเทศและภูมิภาค ส่วนมูลนิธิเพื่อรัก (Love Foundation/SOGI Foundation) เน้นการสร้างความตระหนักรู้และเผยแพร่ข้อมูล
ในส่วนของภาครัฐ ภายใต้การนำของอดีตนายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน ได้แสดงเจตจำนงในการสนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศ โดยกระทรวงยุติธรรมเป็นหน่วยงานหลักในการเสนอร่างพระราชบัญญัติขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคล และกระทรวงสาธารณสุข โดยกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กำลังดำเนินการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการอุ้มบุญเพื่อให้สอดรับกับกฎหมายสมรสเท่าเทียม
ทางด้านรัฐสภา คณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะคณะกรรมาธิการกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ กลุ่มชาติพันธุ์ และผู้มีความหลากหลายทางเพศ ทั้งของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา มีบทบาทสำคัญในการพิจารณาร่างกฎหมาย รับฟังความคิดเห็น และผลักดันประเด็นที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ก็ได้ออกมาเรียกร้องให้มีการเร่งรัดการออกกฎหมายขจัดการเลือกปฏิบัติและทบทวนกฎหมายอุ้มบุญ รวมถึงพรรคการเมืองต่างๆ เช่น พรรคก้าวไกล (ปัจจุบันพรรคประชาชน) และพรรคเพื่อไทย ก็ได้นำเสนอแนวนโยบายและร่างกฎหมายที่มุ่งสร้างความเท่าเทียมทางเพศอย่างต่อเนื่อง
ความสำเร็จของกฎหมายสมรสเท่าเทียมได้สร้าง "แรงส่ง" (Momentum) และเป็น "บรรทัดฐาน" (Precedent) ทางกฎหมายที่สำคัญ ซึ่งกระตุ้นให้เกิดการผลักดันกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับความเท่าเทียมทางเพศตามมาอย่างเป็นระบบมากขึ้น เพราะได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายเพื่อสิทธิ LGBTQ+ เป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้จริงในสังคมไทยและยังสร้างความคาดหวังให้มีการปฏิรูปกฎหมายในมิติอื่นๆ ที่ยังคงมีการเลือกปฏิบัติหรือขาดการคุ้มครองอยู่
ความพยายามเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงการสร้าง "สถาปัตยกรรมทางกฎหมาย" (Legal Architecture) ที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น โดยกฎหมายแต่ละฉบับจะทำหน้าที่เสริมซึ่งกันและกันเพื่อสร้างระบบการคุ้มครองที่สมบูรณ์ การที่รัฐบาลเองเป็นผู้เสนอร่าง พ.ร.บ.ขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคลฯ ถือเป็นสัญญาณเชิงบวก แต่ก็ยังคงต้องติดตามเนื้อหาว่าจะสามารถตอบสนองต่อความคาดหวังของภาคประชาสังคมได้มากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับข้อเสนอในการแก้ไขข้อจำกัดในกฎหมายเดิม
ภายหลังการบังคับใช้พระราชบัญญัติสมรสเท่าเทียม ได้มีความเคลื่อนไหวในการผลักดันร่างกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับความเท่าเทียมทางเพศอีกหลายฉบับ ทั้งที่เสนอโดยภาครัฐ ภาคประชาชน และพรรคการเมือง เพื่อมุ่งสร้างความคุ้มครองสิทธิของบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น สรุปสถานะร่างกฎหมายสำคัญได้ดังตารางต่อไปนี้
ผู้เสนอหลักและสถานะปัจจุบัน ร่างพระราชบัญญัติขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคลนี้มีกระทรวงยุติธรรมเป็นหน่วยงานหลักในการผลักดัน โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมได้นำเสนอร่างกฎหมายดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาแล้ว และมีรายงานว่า ณ เดือนธันวาคม 2567 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมได้มีการประชุมเพื่อทบทวนการเสนอร่างฯ และรับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนต่างๆ นอกจากนี้ยังมีการเปิดรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างกฎหมายลำดับรองที่จะออกตามพระราชบัญญัตินี้ เช่น ร่างกฎกระทรวงและร่างประกาศกระทรวงยุติธรรมต่างๆ เพื่อกำหนดรายละเอียดในการดำเนินการ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความคืบหน้าในการเตรียมการบังคับใช้กฎหมายนี้
โดยมีเป้าหมายเพื่อลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมในสังคม การที่รัฐบาลเป็นผู้ผลักดันร่างกฎหมายนี้เอง และมีการดำเนินการถึงขั้นรับฟังความคิดเห็นกฎหมายลำดับรอง สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจในระดับหนึ่งของฝ่ายบริหารในการสร้างกรอบกฎหมายต่อต้านการเลือกปฏิบัติที่ครอบคลุม
สาระสำคัญ หลักการสำคัญของร่างกฎหมายนี้คือการกำหนดนิยามของ "การเลือกปฏิบัติ" ให้มีความหมายกว้าง ครอบคลุมการกระทำหรือไม่กระทำการใดๆ อันเป็นการแบ่งแยก กีดกัน หรือจำกัดสิทธิเสรีภาพหรือสิทธิประโยชน์ใดๆ ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม โดยมีสาเหตุมาจากความแตกต่างของบุคคล รวมถึงการกำหนดนโยบาย กฎ ระเบียบ ประกาศ มาตรการ โครงการ หรือวิธีปฏิบัติที่ส่งผลให้บุคคลต้องเสียสิทธิประโยชน์ที่ควรจะได้รับ หรือการกระทำที่เป็นการล่วงเกิน คุกคาม หรือก่อความเดือดร้อนรำคาญ อันเป็นการล่วงละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ร่างกฎหมายนี้ยังกำหนดให้มีการจัดตั้ง "คณะกรรมการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคล" (คชป.) ขึ้นเป็นองค์กรหลักในการตรวจสอบข้อเท็จจริง วินิจฉัยเรื่องร้องเรียน และเสนอแนะมาตรการแก้ไขเยียวยา รวมถึงกำหนดให้มีกฎหมายลำดับรองเพื่อระบุรายละเอียดขั้นตอนการปฏิบัติงานของ คชป. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ความเห็นและข้อเสนอแนะ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งรัดการพิจารณาและประกาศใช้กฎหมายฉบับนี้โดยเร็ว ขณะเดียวกัน องค์กรแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ได้ชี้ให้เห็นถึงข้อจำกัดของพระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 โดยเฉพาะมาตรา 17(2) ที่อาจเป็นช่องว่างให้เกิดการปฏิเสธความรับผิด และเรียกร้องให้มีการแก้ไขเพื่อให้การร้องเรียนกรณีการเลือกปฏิบัติทางเพศมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งคาดหวังว่าร่าง พ.ร.บ.ขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคลฉบับใหม่นี้จะสามารถเข้ามาอุดช่องว่างดังกล่าวได้ หากมีเนื้อหาที่ครอบคลุมและไม่มีข้อยกเว้นที่เป็นอุปสรรคต่อการคุ้มครองสิทธิอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญของกฎหมายนี้จะอยู่ที่ "ขอบเขตการบังคับใช้" และ "ประสิทธิภาพของกลไก คชป." โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับปัญหาการเลือกปฏิบัติที่ซับซ้อนและฝังรากลึกในสังคม การพิสูจน์เจตนาในการเลือกปฏิบัติยังคงเป็นเรื่องยากในทางปฏิบัติ และอำนาจหน้าที่รวมถึงการบังคับใช้มติของ คชป. จะเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จ นอกจากนี้ หากการตีความ "เหตุแห่งความแตกต่างของบุคคล" ไม่ครอบคลุมอัตลักษณ์ทางเพศและเพศวิถีอย่างชัดเจน หรือหากกลไกการร้องเรียนมีความซับซ้อนมากเกินไป อาจทำให้ประชาชนเข้าถึงความยุติธรรมได้ยาก
ผู้เสนอและสถานะ การผลักดันร่างพระราชบัญญัติรับรองอัตลักษณ์ทางเพศสภาพ หรือกฎหมายรับรองเพศ ส่วนใหญ่มาจากภาคประชาสังคมและพรรคการเมือง โดยโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) ร่วมกับเครือข่ายภาคประชาชน เช่น Intersex Thailand และมูลนิธิเครือข่ายเพื่อนกะเทยเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้ริเริ่มรณรงค์และเปิดให้ประชาชนร่วมลงชื่อเสนอร่าง พ.ร.บ.รับรองเพศฯ ฉบับภาคประชาชน (ข้อมูล ณ วันที่ 24 พฤษภาคม 2568 มีผู้ร่วมลงชื่อแล้ว 56 คน)
ขณะที่พรรคก้าวไกล (ปัจจุบันคือพรรคประชาชน) ก็มีนโยบายและเคยเสนอร่างกฎหมายในลักษณะเดียวกันนี้ โดยนายธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคดังกล่าว ได้ระบุว่าตนได้ยกร่างบทบัญญัติเสร็จสิ้นแล้วและกำลังอยู่ในระหว่างการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับข้อกังวลต่างๆ ของสังคมที่เกี่ยวข้องกับประเด็นนี้ สถานะโดยรวมของร่างกฎหมายนี้คือยังไม่มีฉบับใดเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาอย่างเป็นทางการ แต่ยังคงมีการขับเคลื่อนจากภาคประชาสังคมและพรรคการเมืองอย่างต่อเนื่อง การที่ภาคประชาชนเป็นแกนหลักในการผลักดันร่างกฎหมายนี้ โดยมีพรรคการเมืองฝ่ายค้าน (เดิม) ให้การสนับสนุน ชี้ให้เห็นถึง "ช่องว่าง" ในการตอบสนองของภาครัฐต่อประเด็นนี้โดยตรง แม้รัฐบาลปัจจุบันจะแสดงท่าทีสนับสนุนความเท่าเทียมในภาพรวมก็ตาม
สาระสำคัญ (อ้างอิงจากร่างภาคประชาชนและข้อเสนอพรรคการเมือง) หลักการสำคัญของร่างกฎหมายนี้คือการให้สิทธิบุคคลในการรับรองอัตลักษณ์ทางเพศของตนเอง โดยครอบคลุมประเด็นหลักๆ ได้แก่ การเปลี่ยนคำนำหน้านาม ให้บุคคลสามารถเปลี่ยนคำนำหน้านามในเอกสารราชการให้สอดคล้องกับอัตลักษณ์ทางเพศของตนได้ (เช่น จากนายเป็นนางสาว หรือใช้คำนำหน้านามที่เป็นกลางทางเพศ เช่น "นาม" หรือเลือกที่จะไม่ระบุคำนำหน้านามเลย) โดยไม่จำเป็นต้องผ่านกระบวนการทางการแพทย์ เช่น การผ่าตัดแปลงเพศ หรือมีใบรับรองแพทย์ การรับรองเพศในเอกสารราชการ
โดยบุคคลสามารถยื่นคำร้องขอจดทะเบียนรับรองอัตลักษณ์ทางเพศของตน และระบุเพศตามความประสงค์ของตนเองได้ในเอกสารทะเบียนราษฎร สิทธิของบุคคล Intersex โดยเสนอให้ห้ามมิให้มีการกำหนดเพศของเด็กที่เป็น Intersex ในทะเบียนราษฎรจนกว่าเด็กคนนั้นจะมีความสามารถในการให้ความยินยอมด้วยตนเองอย่างชัดแจ้ง เว้นแต่กรณีที่มีเหตุจำเป็นทางการแพทย์ และให้เด็ก Intersex มีสิทธิในการตัดสินใจเลือกเพศของตนเองเมื่อถึงวัยอันควร
นอกจากนี้ ร่างกฎหมายยังครอบคลุมถึง สิทธิและหน้าที่อื่นๆ ที่ตามมา เช่น สิทธิในการลาคลอดสำหรับผู้มีครรภ์โดยไม่คำนึงถึงเพศสภาพที่ระบุในเอกสาร สิทธิในการแต่งกายตามเพศสภาพในสถานศึกษาและการรับรองว่าการศัลยกรรมเพื่อยืนยันเพศนั้นถือเป็นความจำเป็นทางด้านสุขภาพและควรได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายสุขภาพ
ทั้งนี้ การรับรองเพศตามกฎหมายนี้จะไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิ หน้าที่ และความสัมพันธ์ในฐานะบิดามารดากับบุตรที่มีอยู่เดิม
ข้อสังเกต แนวคิดในการร่างกฎหมายฉบับนี้ได้รับอิทธิพลมาจากกฎหมายรับรองเพศที่ก้าวหน้าในหลายประเทศ เช่น ประเทศอาร์เจนตินา และประเทศมอลตา 15 การผลักดัน พ.ร.บ.รับรองเพศฯ สะท้อนให้เห็นว่า "การสมรสเท่าเทียม" เพียงอย่างเดียวไม่สามารถแก้ไขปัญหาการยอมรับตัวตนและการถูกเลือกปฏิบัติในชีวิตประจำวันของบุคคลข้ามเพศและผู้มีความหลากหลายทางเพศได้ทั้งหมด ปัญหาเรื่องคำนำหน้านามที่ไม่ตรงกับอัตลักษณ์ทางเพศยังคงสร้างอุปสรรคในการดำเนินชีวิตประจำวัน ประเด็น "การไม่ต้องใช้ใบรับรองแพทย์" และ "การให้เด็ก Intersex ตัดสินใจเลือกเพศเอง" เป็นข้อเสนอที่ก้าวหน้ามาก และอาจเป็นจุดที่ทำให้เกิดการถกเถียงและต่อต้านจากกลุ่มอนุรักษ์นิยมในสังคม ซึ่งจะเป็นความท้าทายสำคัญในการผลักดันกฎหมายนี้
ความจำเป็นและเหตุการณ์กระตุ้น ความรุนแรงต่อบุคคล LGBTQ+ ที่มีแรงจูงใจจากความเกลียดชังหรืออคติทางเพศเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและสร้างความกังวลในสังคมไทย ดังเช่นกรณีการฆาตกรรมหญิงข้ามเพศอย่างโหดเหี้ยมที่พัทยาในเดือนเมษายน พ.ศ. 2568 ซึ่งถูกมองว่ามีแรงจูงใจมาจากความเกลียดชังต่อความแตกต่างทางเพศ
นอกจากนี้ ข้อมูลจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ยังชี้ว่า กลุ่มหญิงข้ามเพศมีความเสี่ยงที่จะถูกกระทำความรุนแรงสูงกว่าประชากรกลุ่มอื่นถึง 3 เท่า ปัจจุบัน ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายที่กำหนดนิยามและบทลงโทษสำหรับ "อาชญากรรมจากความเกลียดชัง" (Hate Crime) โดยเฉพาะ ทำให้คดีที่มีลักษณะดังกล่าวถูกดำเนินคดีในฐานะคดีอาญาทั่วไป ซึ่งไม่สามารถสะท้อนถึงแรงจูงใจอันเกิดจากอคติและความเกลียดชังต่ออัตลักษณ์ของบุคคลได้อย่างแท้จริง การผลักดันกฎหมาย Hate Crime จึงเกิดขึ้นจาก "เหตุการณ์สะเทือนขวัญ" ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวเร่งให้ภาคประชาสังคมต้องออกมาเรียกร้องการคุ้มครองทางกฎหมายที่เข้มแข็งขึ้น
ข้อเสนอจากภาคประชาสังคมและการตอบสนอง เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 เครือข่ายองค์กรภาคประชาสังคมจำนวน 54 องค์กร นำโดยสมาคมฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทย (RSAT) และมูลนิธิเครือข่ายเพื่อนกะเทยเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้ร่วมกันยื่นหนังสือต่อนายธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ กลุ่มชาติพันธุ์ และผู้มีความหลากหลายทางเพศ สภาผู้แทนราษฎร เพื่อเรียกร้องให้มีการผลักดันกฎหมายและนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการรับมือกับอาชญากรรมจากความเกลียดชัง โดยมีข้อเสนอหลัก 6 ประการ ที่สำคัญจาก ILGA Asia และ RSAT ได้แก่
สถานะ ข้อเสนอเกี่ยวกับกฎหมาย Hate Crime เพิ่งถูกยื่นต่อคณะกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎรเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2568 จึงยังถือว่าอยู่ในขั้นตอนเริ่มต้นของการพิจารณาในระดับรัฐสภา ข้อเสนอเรื่อง Hate Crime ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การลงโทษผู้กระทำผิด แต่ยังรวมถึง "มาตรการป้องกันและสร้างความเข้าใจ" เช่น การสร้างฐานข้อมูล และการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ การเชื่อมโยงข้อเสนอเรื่อง Hate Crime กับการคุ้มครอง Sex Workers สะท้อนให้เห็นถึง "ความทับซ้อน" (Intersectionality) ของการถูกเลือกปฏิบัติและความรุนแรง ที่กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศซึ่งเป็นผู้ให้บริการทางเพศมีความเปราะบางสูงเป็นพิเศษ
ผู้ผลักดันและสถานะ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กระทรวงสาธารณสุข เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการแก้ไขพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 ร่างพระราชบัญญัติฉบับที่ 2 (ฉบับแก้ไข) นี้ กำลังอยู่ในระหว่างการเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพื่อพิจารณานำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป (ข้อมูล ณ เดือนพฤษภาคม 2568 และเดือนมกราคม 2568) คาดว่าจะมีการผลักดันเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในไม่ช้า
สาระสำคัญของการแก้ไขที่เกี่ยวข้องกับ LGBTQ+ ประเด็นหลักคือการแก้ไขคำนิยามในกฎหมายจากเดิมที่ใช้คำว่า "สามีภรรยา" ให้เป็น "คู่สมรส" เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติสมรสเท่าเทียม ซึ่งจะเปิดโอกาสให้คู่สมรสเพศเดียวกันสามารถเข้าถึงบริการอุ้มบุญได้อย่างถูกกฎหมาย นอกจากนี้ อาจมีการพิจารณาขยายสิทธิให้คู่สมรสชาวต่างชาติสามารถเข้ามาใช้บริการอุ้มบุญในประเทศไทยได้ด้วย
ข้อพิจารณาและประเด็นท้าทาย กฎหมายอุ้มบุญฉบับปัจจุบัน (พ.ศ. 2558) อนุญาตเฉพาะคู่สมรสต่างเพศเท่านั้น และกำหนดให้หญิงผู้รับตั้งครรภ์แทนต้องเป็นญาติโดยตรงของสามีหรือภรรยา หรือเป็นบุคคลอื่นที่ไม่ได้รับค่าตอบแทนในเชิงพาณิชย์ อุปสรรคสำคัญอีกประการคือค่าใช้จ่ายที่สูงในการเข้าถึงเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ รวมถึงประเด็นทางจริยธรรม สิทธิของเด็กที่เกิดจากการอุ้มบุญ (เช่น สิทธิในการรับรู้ถึงกำเนิดของตน) และการคุ้มครองสิทธิและสวัสดิภาพของหญิงผู้รับตั้งครรภ์แทน ซึ่งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้เสนอให้มีการทบทวนกฎหมายอย่างรอบคอบเพื่อป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์ที่อาจแฝงมากับกระบวนการอุ้มบุญ การแก้ไขกฎหมายอุ้มบุญจึงเป็น "ผลสืบเนื่องโดยตรง" และเป็น "บททดสอบ" ที่สำคัญของการบังคับใช้ พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียมในทางปฏิบัติ ว่าจะขยายสิทธิในการสร้างครอบครัวไปถึงการมีบุตรผ่านเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ได้จริงหรือไม่
ผู้ผลักดันและสถานะ ข้อเสนอนี้มาจากองค์กรแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล และภาคประชาสังคม โดยยังเป็นข้อเสนอเพื่อให้มีการแก้ไขกฎหมายเดิม และยังไม่ปรากฏว่ามีการยกร่างเป็นพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมอย่างเป็นทางการในรัฐสภา
สาระสำคัญของข้อเสนอ มุ่งเน้นไปที่การแก้ไข มาตรา 17(2) ของ พ.ร.บ.ความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 ซึ่งปัจจุบันอนุญาตให้เจ้าหน้าที่สามารถปฏิเสธการรับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติทางเพศได้ หากอ้างอิง "หลักการทางศาสนา" หรือ "ความมั่นคงของชาติ" ข้อเสนอนี้มองว่าบทบัญญัติดังกล่าวเป็นช่องโหว่สำคัญที่ทำให้การคุ้มครองสิทธิไม่เป็นผลอย่างแท้จริง ข้อเสนอนี้ชี้ให้เห็นว่า แม้จะมีกฎหมายต่อต้านการเลือกปฏิบัติอยู่แล้ว และกำลังจะมีฉบับใหม่ แต่ "ข้อยกเว้น" ในกฎหมายเดิมยังคงเป็นปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไข เพื่อไม่ให้การคุ้มครองถูกบ่อนทำลาย
ผู้ผลักดันและสถานะ ริเริ่มโดยโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) และเครือข่ายภาคประชาสังคม ขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการรวบรวมรายชื่อประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง (ตามรัฐธรรมนูญต้องการ 10,000 รายชื่อ) เพื่อเสนอต่อรัฐสภา (ข้อมูล ณ วันที่ 23 พฤษภาคม 2568 มีผู้ร่วมลงชื่อแล้วจำนวน 3,843 คน)
สาระสำคัญ เสนอให้ยกเลิกพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539 และกำหนดให้มีการคุ้มครองสิทธิ ศักดิ์ศรี และเสรีภาพของผู้ให้บริการทางเพศ ให้มีความเท่าเทียมกับผู้ประกอบอาชีพอื่นๆ รวมถึงให้สิทธิในการต่อรองกับผู้ใช้บริการและนายจ้าง สิทธิในการปฏิเสธการให้บริการ สิทธิในการได้รับค่าตอบแทนที่เป็นธรรม และสิทธิในการเข้าถึงสวัสดิการด้านสุขภาพ นอกจากนี้ยังเสนอให้มีการกำกับดูแลสถานบริการให้ถูกกฎหมาย มีความปลอดภัย ไม่สร้างความเดือดร้อนรำคาญแก่ชุมชน และห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี เข้าใช้บริการ การผลักดันกฎหมายนี้ควบคู่ไปกับประเด็น LGBTQ+ อื่นๆ สะท้อนความพยายามในการ "ลดทอนความเป็นอาชญากรรมและลดการตีตรา" (Decriminalize and Destigmatize) งานบริการทางเพศ และยอมรับว่าเป็น "งาน" ประเภทหนึ่งที่ผู้ประกอบอาชีพ (ซึ่งมีสัดส่วนของ LGBTQ+ สูง) ควรได้รับความคุ้มครองทางกฎหมายและสิทธิแรงงาน
ผู้ผลักดันและสถานะ เป็นข้อเสนอจากองค์กรแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล และภาคประชาสังคม โดยยังอยู่ในขั้นตอนการเรียกร้องให้มีการบัญญัติกฎหมายเฉพาะ และยังไม่ได้มีการยกร่างเป็นพระราชบัญญัติเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา
สาระสำคัญของข้อเสนอ เรียกร้องให้มีกฎหมายที่ครอบคลุมการป้องกัน การสอบสวน และการดำเนินคดีต่อผู้กระทำความรุนแรงทางเพศออนไลน์ รวมถึงการกำหนดมาตรการเยียวยาและให้ความช่วยเหลือแก่ผู้เสียหายเนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายเฉพาะที่ให้ความคุ้มครองบุคคลจากการถูกคุกคามทางออนไลน์ การเปิดโปงข้อมูลส่วนตัว (doxing) หรือการนำภาพไปใช้ในทางที่มิชอบโดยมีพื้นฐานจากเพศสภาพหรือเพศวิถี การเรียกร้องกฎหมาย OGBV ชี้ให้เห็นว่า "พื้นที่ออนไลน์" ได้กลายเป็นสมรภูมิใหม่ของการคุกคามและเลือกปฏิบัติต่อกลุ่ม LGBTQ+ ซึ่งกฎหมายที่มีอยู่อาจยังตามไม่ทัน
ภายหลังการมีผลบังคับใช้ของพระราชบัญญัติสมรสเท่าเทียมในประเทศไทยเมื่อวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2568 ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าครั้งประวัติศาสตร์ ประเทศไทยยังคงเดินหน้าผลักดันกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความเท่าเทียมทางเพศอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างสังคมที่เคารพความหลากหลายและคุ้มครองสิทธิของบุคคล LGBTQ+ อย่างรอบด้าน กฎหมายสำคัญที่กำลังมีการขับเคลื่อนและอยู่ในความสนใจของสังคม ได้แก่ ร่างพระราชบัญญัติขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคล ที่เสนอโดยกระทรวงยุติธรรมและอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี ร่างพระราชบัญญัติรับรองอัตลักษณ์ทางเพศสภาพ ที่ผลักดันโดยภาคประชาสังคมและพรรคการเมืองบางส่วน ข้อเสนอให้มีกฎหมายเกี่ยวกับอาชญากรรมจากความเกลียดชัง (Hate Crime) ซึ่งภาคประชาสังคมได้ยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐสภาแล้ว รวมถึงการแก้ไขกฎหมายอุ้มบุญเพื่อให้คู่สมรสเพศเดียวกันสามารถเข้าถึงได้ ซึ่งกรมสนับสนุนบริการสุขภาพกำลังดำเนินการยกร่างแก้ไข นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอจากภาคประชาสังคมในการแก้ไขพระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 เพื่ออุดช่องโหว่ การเสนอร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ให้บริการทางเพศฉบับภาคประชาชน และข้อเสนอให้มีกฎหมายต่อต้านความรุนแรงทางเพศออนไลน์ ความคืบหน้าเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่ากฎหมายสมรสเท่าเทียมเป็นเพียง "จุดเริ่มต้น" และการเดินทางสู่ความเท่าเทียมที่แท้จริงยังคงต้องอาศัยความพยายามและการผลักดันอย่างต่อเนื่องในอีกหลายมิติ
การผลักดันกฎหมายเหล่านี้ให้มีผลบังคับใช้ต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการต่อต้านจากกลุ่มแนวคิดอนุรักษ์นิยม ความซับซ้อนในการยกร่างกฎหมายและการประสานงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ข้อจำกัดด้านทรัพยากรและงบประมาณในการบังคับใช้กฎหมายใหม่ รวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมืองที่อาจส่งผลกระทบต่อความต่อเนื่องของนโยบาย อย่างไรก็ตาม โอกาสในการขับเคลื่อนกฎหมายเหล่านี้ก็มีอยู่มากเช่นกัน โดยเฉพาะแรงผลักดันจากความสำเร็จของกฎหมายสมรสเท่าเทียม ความตื่นตัวและการทำงานอย่างเข้มแข็งของภาคประชาสังคม การสนับสนุนจากพรรคการเมืองสำคัญและรัฐบาลปัจจุบัน รวมถึงกระแสสากลที่ให้ความสำคัญกับการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียม นอกจากนี้ การเป็นผู้นำด้านสิทธิ LGBTQ+ ในภูมิภาคยังอาจนำมาซึ่งประโยชน์ทางเศรษฐกิจ เช่น การส่งเสริมการท่องเที่ยวของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ (Rainbow Tourism)
อ้างอิง
BBC / บางกอกโพสต์ / รัฐบาลไทย / BBC / ILaw / กฎหมายสมรสเท่าเทียม / Policy Watch / กรุงเทพธุรกิจ / Love / PTP / LGBTQ+ / ILaw / ทำเนียบรัฐบาล / ทำเนียบรัฐบาล1 / ILGA / TheAcetive / Amnesty / สมาคมสีรุ้ง / APCOM / WashingtonBlade / มูลนิธิเพื่อรัก / ข่าวทำเนียบรัฐบาล / MFA / PRD / กฎหมายอุ้มบุญ / Policy / กมธ / ประชาไท / HFocus / ก้าวไกล / PTP / บางกอก / รัฐบาล / Law / TU / LwaGard / สบส / ILaw / ร่างพระราชบัญญัติขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคล / ILaw / Policy / สาธารณสุข / พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม / Coverage / Amnesty / อนุกรรมาธิการกิจการสตรี / สว / Thailand's Pride / Tokpromcity / APCOM / SexWorker /