อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ซีอีโอ กลุ่ม ปตท. คาดการณ์ราคาน้ำมันโลกปีหน้าดีกว่าปีนี้ ราคาน้ำมันลดลง ชี้ก๊าซธรรมชาติยังมีอนาคต พร้อมเผยวิสัยทัศน์ใหม่ ขับเคลื่อนทุกชีวิตด้วยพลังงานสะอาด
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยในการกล่าวหัวข้อ "ซีอีโอ Big Crop สู่ธุรกิจแห่งอนาคต" ในงานสัมมนา Thailand Economic Outlook 2023 ซึ่งจัดโดยหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ว่า แนวโน้มราคาพลังงานในปี 2566 น่าจะดีขึ้นกว่าปีนี้ (2565) หรือราคาปรับตัวลดลง โดยคาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบจะอยู่ที่ระดับ 85-95 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งจะทำให้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจรุนแรงน้อยกว่าปี 65
เช่นเดียวกับทิศทางราคาก๊าซธรรมชาติ (LNG) เนื่องจากก๊าซธรรมชาติถือเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า อีกทั้งฤดูหนาวการใช้งานของประเทศฝั่งยุโรปจะสูงขึ้น ดังนั้น ช่วงปีหน้าราคาก็น่าจะถูกลงกว่าปีนี้
ส่วนราคาน้ำมันปีนี้มองว่าค่าเฉลี่ยน่าจะอยู่ที่บวกลบ 90-100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง :
ทั้งนี้ ภาคพลังงานมีความท้าทายมาก โดยสิ่งที่จะต้องคำนึงถึงประกอบด้วย
อย่างไรก็ดี การดำเนินงานของ ปตท. จะมุ่งเน้นไปใน 3 เรื่องที่สำคัญ ได้แก่
นายอรรถพล กล่าวเสริมว่า ภาพรวมในระยะยาวจะยังไม่เปลี่ยนทันทีแม้ราคาสูง แต่จะมุ่งไปในทิศทางการใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น เพราะฉะนั้น การบริหารงานตามความท้าทายเดิม เช่น ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ จะต้องบริหารอย่างไรให้ก้าวสู่พลังงานสะอาด โดยถ่านหินถือว่าผ่านจุดที่เคยใช้ในปริมาณสูงสุดไปแล้ว ซึ่งในระยะยาวจะต้องลดลงแน่นอน
ส่วนพลังงานน้ำมันจะยังคงเติบโตไปได้อีก โดยคาดว่าจะถึงจุดสูงสุดในอีก 10 ปีข้างหน้า หรือปี 2575 หลังจากนั้นจะทยอยปรับตัวลดลง
ขณะที่ก๊าซธรรมชาติถือว่ายังมีอนาคต เพราะเป็นถือว่าเป็นเชื้อเพลิงที่สะอาดที่สุดใน 3 เชื้อเพลิงดังกล่าว
อย่างไรก็ดี ปตท. จะมีการเปลี่ยนรูปแบบการใช้พลังงาน โครงสร้างพื้นฐานสำคัญ รวมถึงจะต้องใช้เงินลงทุนโดยโลกกำลังไปสู่พลังงานสะอาด ซึ่งในอนาคตต้นทุนก็จะลดลงด้วย ทั้งแผลโซลาร์ แบตเตอรี่ มีราคาลดลงมาแล้ว 10 เท่า ตลอดระยะเวลา10 ปีที่ผ่านมา
ข้อมูล บ่งชี้ว่า เงินลงทุนที่ใส่เปลี่ยนพลังงานในอนาคต ทั้งดีมานด์ และซัพพลายเติบโตอย่างมีนัยยะสำคัญ ซึ่งในปีที่ผานมาได้มีการคาดการณ์เงินลงทุนด้านไฮโดรเจน เทคโนโลยี CCS รวมกว่า 7 แสนล้านดอลลาร์ (26 ล้านล้านบาท) เพื่อเข้าสู่ Go Green และ Go Electric
นายอรรถพล กล่าวอีกว่า แนวโน้มการทำธุรกิจของ ปตท. ในระยะต่อไปจะมีการปรับวิสัยทัศน์ไปสู่ "Powering Life with Future Energy and Beyond" หรือการขับเคลื่อนทุกชีวิตด้วยพลังแห่งอนาคต จากวิสัยทัศน์เดิม "Thai Premier League Multinational Energy Company" เนื่องจากพลังงานข้างหน้าเริ่มไม่แน่นอน
องค์กรต้องปรับตัวเองให้เห็นทั้งลูกค้าและคู่ค้า เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับประเทศ จากที่ทำดีอยู่แล้ว จึงปรับเป็นองค์กรที่เป็นพลังขับเคลื่อนทุกชีวิตด้วยพลังงานแห่งอนาคต นำเทคโนโลยีมาพัฒนาพลังงาน รวมถึงระบบไฮโดรเจนที่ตั้งเป้าหมายศึกษาอย่างจริงจัง ส่วนธุรกิจเดิมจะเริ่มออกไปนอกธุรกิจพลังงานเพื่อกระจายความเสี่ยง โดยตอบโจทย์ New S Curve ของประเทศตามนโยบายรัฐบาล
นายอรรถพล กล่าวทิ้งท้ายว่า เพื่อตอบโจทย์การเติบโตสู่ธุรกิจพลังงานอนาคต และธุรกิจใหม่ กลุ่ม ปตท. จึงได้จัดพอร์ตลงทุนธุรกิจใหม่ใน 6 ด้านที่เป็นเทรนด์ใหม่ผ่านบริษัทในเครือ ปตท. และการตั้งบริษัทใหม่ ได้แก่
ด้านเป้าหมาย Net Zero นั้น กลุ่ม ปตท. ได้รวมตัวทุกบริษัทจะต้อองประกาศเป้าหมายและทำให้ได้ก่อนเป้าหมายประเทศในปี 2065 เพื่อสนับสนุนเป้าหมายของประเทย โดยกำหนดเป้าหมาย Net Zero ในปี2050 อาทิ เพิ่มพอร์ตพลังงานสะอาดเป็น 1.2 หมื่นเมะวัตต์ ปลูกป่าจาก 1 ล้านไร่เป็น 2 ล้านไร่ จากเดิม 1 ล้านไร่ ช่วยดูดซับคาร์บอนได้ 2 ล้านตันต่อปี เป็นต้น