คณบดี คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แจงปมเงินบริจาค "ชูวิทย์" ที่มาจากเว็บพนัน ว่าขอยึดหลักวัตถุประสงค์ของผู้บริจาค แต่ยินดีทำตามกฎหมายหากจะต้องคืนเงินบริจาค
รองศาสตราจารย์ นายแพทย์ ดิลก ภิยโยทัย คณบดี คณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชี้แจงกรณีที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองและเจ้าของธุรกิจอาบอบนวด ได้บริจาคเงินจำนวน 3 ล้านบาทให้กับคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ว่า ให้เป็นไปตามข้อเท็จจริง เพราะการปฏิบัติทางคณะแพทย์ฯเราโปร่งใสสามารถตรวจสอบได้ ในส่วนนี้จึงยังไม่มีความรู้สึกอะไรจนกว่าข้อเท็จจริงจะปรากฎ
พร้อมกับอธิบายถึงเรื่องเงินบริจาคว่า เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2556 คุณชูวิทย์ ได้มาบริจาคเงินจำนวน 3 ล้านบาทให้กับคณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อสนับสนุนการปรับปรุงห้องปฏิบัติการกายวิภาคศาสตร์ และเพื่อจัดซื้อคุรุภัณฑ์ ส่งเสริมการเรียน การสอน และเมื่อปีที่แล้ว วันที่ 6 กันยายน 2565 คุณชูวิทย์ก็ได้มาบริจาครถควบคุมอุณหภูมิสำหรับใช้รับร่างอาจารย์ใหญ่ให้กับสาขากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ด้วย
ส่วนเงินบริจาคที่ได้มาจากเว็บพนัน รองศาสตราจารย์ นายแพทย์ ดิลก ระบุว่า ตามธรรมเนียมของบริจาค คือความหวังดีของผู้บริจาคโดยทั่วไปจะมีกิจกรรมแบบนี้สม่ำเสมอ ส่วนจะเป็นเงินสงสัยจากส่วนไหน ไม่ได้เป็นประเด็นที่เราจะไปตัดสิน เราขอยึดหลักของผู้บริจาคก่อน แต่ถ้าทางกฎหมายจะว่ายังไง เราก็จะทำตามกฎหมายที่ออกมาทันที
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
• "ชูวิทย์" ลั่น รับมาแค่ 6 ล้าน ซัด "ทนายตั้ม" ไปรับงานใครมา ท้ามีหลักฐานเปิดมา
• ชูวิทย์ แจงที่มา "เงิน 3 ล้าน" หลัง ทนายตั้ม โพสต์ "แฉไป ไถไป"
• "ทนายตั้ม" แฉ "ชูวิทย์" ยับ คาดไถมากกว่า 20 ล้าน อ้างเป็น "โรบินฮู้ดจอมปลอม"
เมื่อถามว่าทางคณะแพทย์ มธ. ได้มีการตรวจสอบคนที่จะมาบริจาคเงินหรือไม่อย่างไร เรื่องนี้ รองศาสตราจารย์ นายแพทย์ ดิลก บอกว่า คนที่มาบริจาคเราไม่ได้มีการตรวจสอบ ส่วนตัวคิดว่าเป็นทุกที่ โดยทั่วไปในสังคมไทย การบริจาคเป็นเรื่องปกติที่คนในสังคมจะช่วยกันโดยเฉพาะในส่วนการสนับสนุนเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เพราะธรรมเนียมปฏิบัติเดิมไม่ได้มีการเข้าไปตรวจสอบ
หลังจากนี้ จะมีการตั้งเกณฑ์ผู้ที่จะเข้ามาบริจาคหรือไม่ รองศาสตราจารย์ นายแพทย์ ดิลก ระบุว่า เรื่องนี้อาจจะมีเรื่องของความรู้สึก เบื้องต้นคนส่วนใหญ่มีวัตถุประสงค์ที่ดีในเรื่องของการให้ การบริจาค ซึ่งการตรวจสอบไม่ได้อยู่ในธรรมเนียมปฏิบัติเดิม แต่คิดว่าจากกรณีของคุณชูวิทย์ จะเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ก็เป็นเรื่องของอนาคต แต่ถ้าหลักกฎหมายกำหนดอะไรมาเราก็ยินดีปฏิบัติตาม