SHORT CUT
"เชียงราย" เดือด "ทักษิณ" ประชิด "ค่ายน้ำเงิน" ศึกบ้านใหญ่หลายมุ้งในวันที่แดงต้องการเอาคืน สภาวะการเมืองหลายกลุ่มในเชียงราย
เชียงรายเป็นจังหวัดที่มีประวัติศาสตร์ทางการเมืองอันยาวนาน และเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ทางการเมืองมาตั้งแต่อดีต ตั้งแต่ยุคของพันเอกวรการบัญชา ที่เป็นหนึ่งในแกนนำคณะรัฐประหาร 2490 จนถึงปัจจุบันที่มีตระกูลการเมืองใหญ่หลายตระกูลที่มีบทบาทสำคัญ เช่น ตระกูลจงสุทธนามณี วันไชยธนวงศ์ และเตชะธีราวัฒน์ การเมืองในเชียงรายมีพลวัตที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในช่วงที่ผ่านมาที่เห็นการเปลี่ยนขั้วทางการเมืองของกลุ่มต่างๆ อย่างชัดเจน
พันเอก นายวรการบัญชา (บุญเกิด สุตันตานนท์) เป็นบุตรคนแรกของพระพิจิตรโอสถ (รอด สุตันตานนท์) และเจ้ากาบแก้ว พิจิตรโอสถ ภายหลังกลับมาอยู่เชียงใหม่ ท่านได้รับมอบหมายจากบิดาให้ดูแลไร่นาและเก็บผลประโยชน์ที่จังหวัดเชียงราย ระหว่างนั้น ท่านได้ศึกษาจนสำเร็จการศึกษาเนติบัณฑิต ด้านชื่อเสียงในสังคม ท่านได้รับเลือกเป็นนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่คนแรกในปี พ.ศ. 2479–2480 นอกจากนี้ ท่านยังได้รับเลือกเป็นผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงรายหลายสมัย
พันเอก นายวรการบัญชา มีบทบาทสำคัญทางการเมือง โดยเข้าร่วมตำแหน่งสำคัญๆ ในคณะรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม หลังการรัฐประหารในปี พ.ศ. 2490 บุคคลในคณะรัฐประหารเรียกท่านอย่างเคารพว่า "พี่วร" ท่านดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีหลายกระทรวง เช่น รัฐมนตรีสั่งราชการกระทรวงการต่างประเทศ, รัฐมนตรีสั่งการกระทรวงคมนาคม, รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐการ, และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ต่อมา ท่านได้รับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและเคยเป็นประธานวุฒิสภา
ในเหตุการณ์กบฏแมนฮัตตัน วันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2494 เวลา 10.00 น. นายวรการบัญชา เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการให้ประกาศกฎอัยการศึกในจังหวัดพระนครและธนบุรี ผ่านพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าธานีนิวัต กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร นับว่าท่านเป็นบุคคลแรกที่รับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ การใช้กฎอัยการศึกในรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ต่อมาในวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2495 พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระราชทานยศ พันเอก นายทหารพิเศษประจำ กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ และราชองครักษ์พิเศษ แก่ นายวรการบัญชา (บุญเกิด สุตันตานนท์)
นายวรการบัญชา เคยได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงราย ในเดือนกุมภาพันธ์ และธันวาคม พ.ศ. 2500 ท่านยุติบทบาททางการเมืองทั้งหมดหลังการรัฐประหารในปี พ.ศ. 2514 โดยจอมพล ถนอม กิตติขจร และถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2517 ขณะอายุ 70 ปี ที่กรุงเทพมหานคร มีพิธีพระราชทานเพลิงศพเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2517 ณ เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส
ตระกูล "จงสุทธนามณี" เป็นตระกูลที่มีบทบาทสำคัญในสนามการเมืองของจังหวัดเชียงรายทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่นมาอย่างยาวนาน บทความนี้จะขยายความถึงเส้นทางทางการเมืองของบุคคลสำคัญในตระกูลนี้
มงคล จงสุทธนามณี เกิดเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2489 เขาเริ่มต้นเส้นทางการเมืองในฐานะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงราย โดยได้รับเลือกตั้งครั้งแรกในปี พ.ศ. 2526 สังกัดพรรคชาติไทย และได้รับเลือกตั้งต่อเนื่องรวม 7 สมัย โดยสังกัดพรรคการเมืองต่าง ๆ ดังนี้ พรรคชาติไทย พรรครวมไทย พรรคเอกภาพ พรรคสามัคคีธรรม พรรคชาติพัฒนา
เส้นทางการเมืองในระดับชาติของมงคลสิ้นสุดลงในการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2539 หลังจากนั้นเขาได้หันไป ร่วมงานกับพรรคมหาชน และในปี พ.ศ. 2561 เขาได้เข้าร่วม พรรคพลังประชารัฐ และลงสมัคร สส.แบบบัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 53 แต่ไม่ได้รับเลือกตั้ง
ด้าน รัตนา จงสุทธนามณี เป็นอีกหนึ่งบุคคลสำคัญในตระกูลที่โลดแล่นในเส้นทางการเมือง เธอเริ่มต้นจากการเป็น เทศมนตรีฝ่ายการศึกษา เทศบาลเมืองเชียงราย ก่อนก้าวสู่การเมืองระดับชาติโดยได้รับเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดเชียงราย สังกัดพรรคชาติพัฒนา ในการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2538 และได้รับเลือกตั้งอีกครั้งในสมัยต่อมา ต่อมา รัตนาหันมา ทำงานการเมืองท้องถิ่น และได้รับเลือกตั้งเป็น นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (นายก อบจ.) สองสมัยติดต่อกันในปี พ.ศ. 2547 และ พ.ศ. 2551 ในการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2555 รัตนาลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายก อบจ. อีกครั้ง แต่พ่ายแพ้ให้กับนางสลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช อย่างไรก็ตาม ศาลฎีกาได้ตัดสินจำคุกและเพิกถอนสิทธิทางการเมืองของนางสลักจฤฎดิ์ในปี พ.ศ. 2557 เนื่องจากกระทำความผิดทางกฎหมายเลือกตั้ง
จากข้อมูลที่ปรากฏในแหล่งข้อมูล ตระกูล "จงสุทธนามณี" มีบทบาทใน พรรคการเมืองระดับชาติ หลายพรรค เช่น พรรคชาติไทย พรรครวมไทย พรรคเอกภาพ พรรคสามัคคีธรรม พรรคชาติพัฒนา พรรคมหาชน พรรคพลังประชารัฐ และยังมีบทบาทสำคัญใน การเมืองท้องถิ่น ของจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตำแหน่งนายก อบจ.
ตระกูล “วันไชยธนวงศ์” ถือเป็น บ้านใหญ่ ทางการเมืองของจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะในเขตอำเภอเทิง มีบทบาทสำคัญทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่นมายาวนาน
โดย สมบูรณ์ วันไชยธนวงศ์ หรือ “เสี่ยโป้ย” ถือเป็นเสาหลักของตระกูล เขาเริ่มต้นเส้นทางการเมืองในปี พ.ศ. 2531 โดยได้รับเลือกตั้งเป็น สส. เชียงราย สมัยแรก ในนามพรรครวมไทย ก่อนจะย้ายไปร่วมงานกับพรรคเอกภาพ, พรรคชาติพัฒนา, พรรคความหวังใหม่ และพรรคไทยรักไทย ตามลำดับ
สมบูรณ์ สร้างชื่อเสียงให้กับตระกูล “วันไชยธนวงศ์” ด้วยการเป็น สส. เชียงราย ถึง 6 สมัย และยังเป็นผู้ผลักดันให้คนในตระกูลเข้าสู่สนามการเมือง
สมบูรณ์มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ ทักษิณ ชินวัตร มาตั้งแต่สมัยที่เขาย้ายจากพรรคความหวังใหม่มาร่วมงานกับพรรคไทยรักไทย โดยสมบูรณ์ ได้รับเลือกตั้งเป็น สส. ในนามพรรคไทยรักไทย 2 สมัยติดต่อกัน (ปี 2544 และ 2548)
หลังจากพรรคไทยรักไทยถูกยุบ สมบูรณ์ก็ได้ย้ายไปร่วมงานกับ พรรคพลังประชาชน และได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ
จุดเปลี่ยนสำคัญทางการเมืองของตระกูล “วันไชยธนวงศ์” เกิดขึ้นในปี 2554 เมื่อสมบูรณ์ตัดสินใจเข้าร่วมงานกับ พรรคภูมิใจไทย และส่งสมาชิกในครอบครัวลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรค อย่างไรก็ตาม ผลการเลือกตั้งในปีนั้น ทีมลูกๆ ของ สมบูรณ์ พ่ายแพ้
แม้จะเคยพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งปี 2554 แต่ตระกูล “วันไชยธนวงศ์” ก็ยังคงมีบทบาทสำคัญในพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเลือกตั้งนายก อบจ. เชียงราย ปี 2563 ที่ อทิตาธร วันไชยธนวงศ์ ลูกสาวของสมบูรณ์ สามารถเอาชนะ วิสาระดี เตชะธีราวัฒน์ จากพรรคเพื่อไทย ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก ทักษิณ
ขณะที่ รังสรรค์ วันไชยธนวงศ์ หลานชายของสมบูรณ์ ซึ่งเคยเป็น สส. เชียงราย ในนามพรรคเพื่อไทย ได้ลาออกจากพรรคเพื่อไทย และมาร่วมงานกับ พรรคภูมิใจไทย
การปรากฎตัวของตระกูล “วันไชยธนวงศ์” พร้อมหน้าเพื่อต้อนรับ อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ในการเดินทางมาเปิดหน่วยบริการฟอกเลือดที่ อ.เทิง ยิ่งตอกย้ำถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างตระกูลนี้กับพรรคภูมิใจไทย
เส้นทางการเมืองของตระกูล “วันไชยธนวงศ์” จึงเป็นภาพสะท้อนของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไทย ที่เต็มไปด้วยความผันผวนและการช่วงชิงอำนาจ
วิสาร เตชะธีราวัฒน์ เป็นนักการเมืองชาวไทย เกิดเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2499 ปัจจุบันดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (ภูมิธรรม เวชยชัย) เขาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงรายมาอย่างยาวนานถึง 9 สมัย โดยเริ่มต้นเส้นทางการเมืองจากการได้รับเลือกตั้งเป็น สส. จังหวัดเชียงราย ครั้งแรกในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2529 ในสังกัดพรรครวมไทย
เส้นทางการเมืองของวิสาร เตชะธีราวัฒน์ ผ่านการสังกัดพรรคการเมืองต่างๆ ได้แก่ พรรคเอกภาพ พรรคสามัคคีธรรม พรรคชาติพัฒนา พรรคนำไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคไทยรักไทย และพรรคเพื่อไทย ในปี พ.ศ. 2538 เขาได้รับเลือกเป็นกรรมการบริหารพรรคนำไทย ต่อมาในปี พ.ศ. 2544 ย้ายมาสังกัดพรรคไทยรักไทย และถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองพร้อมกับกรรมการบริหารพรรค 111 คน จากคดียุบพรรคการเมือง พ.ศ. 2549
ในรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร วิสาร ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2556 และในฐานะผู้บังคับบัญชากองอาสารักษาดินแดน เขาจึงได้รับแต่งตั้งยศ นายกองเอก ในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2562 เขากลับมาลงสมัยที่ 9 ในสังกัดพรรคเพื่อไทย และเป็นที่รู้จักจากการกรีดแขนตัวเองในสภาผู้แทนราษฎรเพื่อประท้วง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2563
วิสาร เตชะธีราวัฒน์ ถือเป็นบ้านใหญ่ทางการเมืองของจังหวัดเชียงราย โดย ลูกสาวของเขา วิสาระดี เตชะธีราวัฒน์ ยังเป็น สส. จังหวัดเชียงราย 3 สมัย และอดีตรองโฆษกพรรคเพื่อไทย อีกด้วย ปัจจุบันวิสาระดีเป็นกรรมการในคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล)
สำหรับอีกตระกูลหนึ่งที่เรียกได้ว่ามีอิทธิพลในจังหวัดเชียงรายคือตระกูลติยะไรัช โดยตระกูลติยะไพรัชเริ่มมีบทบาททางการเมืองในจังหวัดเชียงรายอย่างเป็นทางการเมื่อ นายยงยุทธ ติยะไพรัช ก้าวเข้าสู่การเมืองระดับชาติ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงราย ยงยุทธสร้างฐานอำนาจผ่านการทำธุรกิจและการสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์กับประชาชนในพื้นที่
ในช่วงที่พรรคไทยรักไทยมีอำนาจ ตระกูลติยะไพรัชถือเป็นหนึ่งในตระกูลการเมืองที่มีบทบาทสำคัญในภาคเหนือ โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงราย ยงยุทธได้รับตำแหน่งสำคัญในรัฐบาล และมีอิทธิพลทางการเมืองอย่างมาก ในช่วงนี้เอง ภรรยาของเขา สลักจิต ติยะไพรัช (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น สลักจฤฎดิ์) ก็เริ่มเข้าสู่เส้นทางการเมืองด้วย
ตระกูลติยะไพรัช ขยายอิทธิพลทางการเมืองผ่านการทำธุรกิจหลากหลายประเภทในจังหวัดเชียงราย ทั้งธุรกิจก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ และการค้า ซึ่งช่วยสร้างฐานอำนาจทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง พวกเขายังสร้างเครือข่ายการเมืองผ่านการสนับสนุนนักการเมืองท้องถิ่นและ
สมาชิกในตระกูล ติยะไรัช คนอื่นๆ ก็โลดแล่นในสนามการเมืองทั้งในเชียงรายและระดับชาติด้วย ไม่ว่าจะเป็น บุศริณธญ์ วรพัฒนานันน์ (ชื่อเดิม บุษรินทร์ ติยะไพรัช) เป็นพี่สาวของ ยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตประธานรัฐสภา
เคยดำรงตำแหน่งสำคัญทางการเมืองหลายตำแหน่ง เช่น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ, หัวหน้าพรรคเพื่อชาติ, สมาชิกวุฒิสภาจังหวัดเชียงราย, และนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
ในการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ปี 2557 บุศริณธญ์ ชนะ รัตนา จงสุทธนามณี อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
ปี 2564 ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อชาติ และได้ลาออกจากตำแหน่งในปีเดียวกัน
ปี 2565 ได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคเพื่อชาติ แทนนายอารี ไกรนรา ที่ลาออกจากตำแหน่ง
อีกคนหนึ่งคือละออง ติยะไพรัช เป็นน้องสาวของ ยงยุทธ ติยะไพรัช เธอเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคเพื่อไทย เคยเป็นรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงราย
ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาแล้ว 5 สมัย คือปี พ.ศ. 2548 สังกัดพรรคไทยรักไทย ปี พ.ศ. 2550 สังกัดพรรคพลังประชาชน ปี พ.ศ. 2554 สังกัดพรรคเพื่อไทย ปี พ.ศ. 2562 สังกัดพรรคเพื่อไทย และปี พ.ศ. 2566 แบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคเพื่อไทย
มิตติ ติยะไพรัช หรือ “ฮั่น” เป็นบุตรชายของ ยงยุทธ ติยะไพรัช เป็นอดีตเลขาธิการพรรคไทยรักษาชาติ และผู้ก่อตั้งสโมสรฟุตบอล “กว่างโซ่งมหาภัย” สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด สร้างสนามฟุตบอลเป็นของตัวเอง โดยได้รับการสนับสนุนจากสิงห์ ตัวเขาตั้งปณิธานว่าจะลงสมัคร สส. เดินตามรอยบิดา ตั้งแต่เรียนจบจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ลาออกจากตำแหน่งประธานสโมสรสิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด ไปรับตำแหน่งเลขาธิการพรรคไทยรักษาชาติ
อีกคนคนหนึ่งคือ ปิยะรัฐชย์ ติยะไพรัช หรือ แม่เลี้ยงโฮม บุตรสาวของ ยงยุทธ ก็โลดแล่นในสนามการเมือง เพราะเคยถูก ยงยุทธ วางตัวให้อยู่พรรคเพื่อชาติก่อนที่จะขยับมาสู่ สส. เชียงรายพรรคเพื่อไทยในปี พ.ศ. 2566
อีกคนหนึ่งคือ ปวิศรัฐฐ์ ติยะไพรัช หรือ มาดามฮาย เป็นบุตรสาวของ ยงยุทธ ติยะไพรัช เป็นประธานสโมสรฟุตบอล เชียงราย ยูไนเต็ด และเคยเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อชาติ เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองที่มีอายุน้อยที่สุดคนหนึ่งในบรรดาหัวหน้าพรรคการเมืองยุคปัจจุบัน
ถึงแม้ ตระกูลติยะไพรัช จะเป็นตระกูลที่มีบทบาททางการเมืองในจังหวัดเชียงรายมาอย่างยาวนาน แต่เส้นทางการเมืองของคนในตระกูลนี้ต้องเผชิญกับมรสุมคดีความหลายครั้ง ส่งผลกระทบต่อบทบาทและอนาคตทางการเมือง
คดีความที่โดดเด่นและส่งผลกระทบอย่างมากต่อเส้นทางการเมืองของคนในตระกูลติยะไพรัช ได้แก่
ยงยุทธ ติยะไพรัช โดนคดีปกปิดบัญชีทรัพย์สิน โดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตัดสินว่านายยงยุทธมีความผิดจริงในคดีจงใจปกปิดบัญชีทรัพย์สินและแสดงรายการทรัพย์สินเป็นเท็จ ศาลพิพากษาให้จำคุก 2 เดือน ปรับ 4,000 บาท และตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี โทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ 1 ปี
คดีทุจริตเลือกตั้งที่ ยงยุทธถูกคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตัดสินให้ใบแดงในปี 2551 เนื่องจากพบว่ามีการทุจริตการเลือกตั้งที่จังหวัดเชียงราย ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งพิพากษายืนตามมติของ กกต. และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของนายยงยุทธเป็นเวลา 5 ปี คดีนี้ส่งผลให้พรรคพลังประชาชนที่นายยงยุทธสังกัดอยู่ถูกยุบในเวลาต่อมา
ด้าน มิตติ ติยะไพรัช บุตรชายของนายยงยุทธ ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 10 ปี ในปี 2562 จากกรณีที่พรรคไทยรักษาชาติที่นายมิตติเป็นกรรมการบริหารพรรคถูกยุบ เนื่องจากการยื่นบัญชีรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ
ด้าน บุศริณธญ์ (ติยะไพรัชน์) วรพัฒนานันท์ พี่สาวของนายยงยุทธ ถูก กกต. ให้ใบเหลืองในการเลือกตั้งนายก อบจ. ปี 2557 เนื่องจากพบว่ามีการใช้ตำแหน่งหน้าที่ราชการเพื่อช่วยเหลือผู้สมัคร
คดีความต่างๆ เหล่านี้ส่งผลกระทบต่อเส้นทางการเมืองของคนในตระกูลติยะไพรัชอย่างมาก ทำให้สูญเสียสิทธิทางการเมือง ถูกตัดสิทธิ์ในการลงสมัครรับเลือกตั้ง และถูกมองว่าเป็นผู้ที่กระทำความผิด ส่งผลต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของตระกูลในทางการเมือง
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 ถึง พ.ศ. 2554 เรียกได้ว่าเป็นยุคทองของค่ายแดงตั้งแต่ยุคพรรคพลังประชาชนถึงพรรคเพื่อไทย สามารถกวาด สส. เชียงรายได้ยกจังหวัด โดย สส. ค่ายแดงจากเชียงรายมีบทบาทโดดเด่นอย่างมากไม่ว่าจะเป็น สามารถ แก้วมีชัย พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ยงยุทธ ติยะไพรัช
แต่กระนั้นสมการการเมืองก็เปลี่ยนไปเมื่อพรรคส้มตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่ พรรคก้าวไกล จนถึงพรรคประชาชน สามารถเจาะเชียงรายได้ ไม่ว่าจะเป็นปี พ.ศ. 2562 ได้ สส. 2 คน คือ เอกภพ เพียรพิเศษ และ พีรเดช คำสมุทร ในการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2566 สะท้อนถึงกระแสพรรคส้มที่เพิ่มขึ้นได้ สส.ในเชียงรายถึง 3 ที่นั่งจากทั้งหมด 7 ที่นั่ง ได้แก่ ชิตวัน ชินอนุวัฒน์ ฐากูร ยะแสง และ จุฬาลักษณ์ ขันสุธรรม สะท้อนให้เห็นว่าการเมืองระดับชาติในเชียงรายพรรคส้มเป็นอีกพรรคหนึ่งที่น่ากลัวในเชียงราย
การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และ สมาชิกสภา อบจ.เชียงราย ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 คาดว่าจะมีการแข่งขันที่ดุเดือด นอกจากจะเป็นการชิงการบริหารงบประมาณกว่า 1,000 ล้านบาทต่อปีแล้ว ยังเป็นการต่อสู้ของกลุ่มการเมืองใหญ่ในจังหวัด
การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการโคจรมาพบกันของสองบ้านใหญ่ คือ ฝั่ง “ยงยุทธ ติยะไพรัช” อดีตนักการเมืองใหญ่ของพรรคเพื่อไทย ที่จะพ้นโทษเว้นวรรคทางการเมือง 10 ปี ในข้อหาแจ้งความเท็จ และ บ้านใหญ่ “จงสุทธนามณี” ซึ่งในอดีตเคยเป็นคู่แข่งกับกลุ่มการเมืองขั้วพรรคเพื่อไทย แต่ล่าสุดได้ย้ายมาซบพรรคเพื่อไทย
ฝั่ง “ยงยุทธ” จะส่ง “สลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช” คนใกล้ชิดลงชิงเก้าอี้นายก อบจ. โดยมี “รัตนา จงสุทธนามณี” อดีตนายก อบจ.เชียงราย คอยสนับสนุน ส่วนบ้าน “จงสุทธนามณี” จะส่งคนลงสมัคร ส.อบจ.เชียงราย ทั้ง 36 เขตเลือกตั้ง
เป้าหมายของการร่วมมือกันในครั้งนี้ ไม่ใช่แค่ชิงตำแหน่งนายก อบจ. เท่านั้น แต่ยังต้องการล้มสายสีน้ำเงิน “ตระกูลวันไชยธนวงศ์” ซึ่ง “อทิตาธร วันไชยธนวงศ์” บุตรสาวของ “สมบูรณ์ วันไชยธนวงศ์” หรือ “เสี่ยโป้ย” อดีต สส. 6 สมัย ดำรงตำแหน่งนายก อบจ. มาตลอด 4 ปีที่ผ่านมา โดย “ตระกูลวันไชยธนวงศ์” ถูกมองว่าอยู่ฝั่งพรรคภูมิใจไทย และพี่ชายของ “อทิตาธร” ก็ยังดำรงตำแหน่งประธานสภา อบจ. เชียงราย จนหมดวาระ
การเลือกตั้ง อบจ.เชียงราย ครั้งนี้จึงกลายเป็นการสางแค้นระหว่างสองขั้วการเมือง และน่าจับตามองว่า บ้านใหญ่ทั้งสองฝั่งจะสามารถโค่นอำนาจของ “วันไชยธนวงศ์” ได้หรือไม่ เกมนี้ไม่ใช่เพียงแต่ล้มบ้านใหญ่หัวใจสีน้ำเงินแต่อาจสะเทือนถึงพรรคภูมิใจไทยก็เป็นได้
การเมืองเชียงรายในปัจจุบันกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ จากที่เคยเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคเพื่อไทย หรือที่เรียกว่า "ค่ายแดง" มาอย่างยาวนาน กำลังเผชิญกับความท้าทายจากการขยายอิทธิพลพรรคค่ายน้ำเงินและค่ายสีส้มที่หลอมรวมกันยืนตรงข้ามค่ายแดงในการเมืองท้องถิ่นเชียงราย โดยมีการเปลี่ยนขั้วทางการเมืองของตระกูลวันไชยธนวงศ์ จากที่เคยเป็นพันธมิตรกับทักษิณ ชินวัตร มาเป็นพันธมิตรกับพรรคภูมิใจไทย ขณะที่ตระกูลเตชะธีราวัฒน์ยังคงยืนหยัดอยู่กับพรรคเพื่อไทย สถานการณ์นี้ทำให้การเมืองในเชียงรายมีความเข้มข้นและน่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในช่วงที่ทักษิณ ชินวัตร กำลังพยายามรักษาฐานเสียงในพื้นที่เชียงรายเอาไว้ ท่ามกลางการท้าทายจากพรรคการเมืองอื่นๆ ที่พยายามแย่งชิงพื้นที่ทางการเมืองในจังหวัดนี้
อ้างอิง
คมชัดลึก 1 / คมชัดลึก 2 / คมชัดลึก 3 / Nation 1 / Nation 2 / การเมือง / Thai /