“เบอร์ลี่ ยุคเกอร์” เป็นองค์กรธุรกิจเก่าแก่อายุกว่า “ร้อยปี” นอกจากผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค เมื่อ 6 ปีก่อน ยังขยายอาณาจักรสู่ธุรกิจค้าปลีก ผนวกกิจการ “บิ๊กซี” เข้ามาอยู่ในพอร์ตโฟลิโอ
ปีที่ผ่านมา บริษัทจึงมุ่งมั่นวางระบบ พัฒนาโมเดลค้าปลีกรูปแบบใหม่ ภายใต้แบรนด์ร้าน “โดนใจ” พร้อมวางกลยุทธ์เพื่อพลิกโชห่วยไทยไม่ต่ำกว่า 4 แสนร้านค้า ตอบสนองการค้าขายในชุมชน
ฐาปณี เตชะเจริญวิกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ บีเจซี ฉายภาพว่า จากวิสัยทัศน์ของคุณพ่อ “เจริญ สิริวัฒนภักดี” ที่ต้องการช่วยเศรษฐกิจฐานรากให้เจริญเติบโตได้ ถือเป็นฟันเฟืองขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย และประเทศชาติมีความเจริญก้าวหน้ามากขึ้นด้วย
“วิสัยทัศน์ของคุณเจริญ ต้องการช่วยเหลือ สร้างเศรษฐกิจฐานรากให้แข็งแรงเติบโต และเป็นส่วนหนึ่งในการมุ่งมั่นพัฒนาผู้ประกอบการร้านโชห่วย ด้วยการเข้าไปลงทุนให้อย่างแท้จริงทั้งด้านระบบ ฮาร์ดแวร์ที่ใช้งานง่ายเพื่อให้เจ้าของร้านได้ประโยชน์จากเทคโนโลยี ข้อมูลที่มี โดยคุณพ่อย้ำว่าให้เราลงทุนให้มากสุด ทำให้เต็มที่”
“ปีหน้าบริษัทจะผลักดันการเปิดร้านโดนใจเชิงรุก เนื่องจากมีผู้ประกอบการทดลองซื้อขายสินค้าร่วมกันอีกจำนวนมาก และร้านโชห่วยให้ความสนใจเปิดร้านกว่า 1,400 ราย ซึ่งช่วงเดือนมกราคม 2566 บริษัทจะเดินสายโร้ดโชว์ไปยังพื้นที่ต่างๆ เพื่อสร้างการรับรู้โมเดลธุรกิจ รูปแบบการเปิดร้าน เพื่อให้เห็นโอกาสในการพลิกโฉมร้านค้าดั้งเดิม”
สำหรับจุดเด่นโมเดลร้านโดนใจ มี 4 ขนาด เพื่อให้ผู้ประกอบการเลือกลงทุนตามความเหมาะสม ได้แก่ ไซส์ XS มีพื้นที่ขายไม่เกิน 20 ตารางเมตร(ตร.ม.) สินค้าประมาณ 600 รายการ(เอสเคยู) เครื่องคิดเงิน POS 1 เครื่อง ไซส์ S พื้นที่ขาย 20 – 40 ตร.ม. สินค้าประมาณ 1,000 รายการ ไซส์ M พื้นที่ขายกว่า 40-80 ตร.ม. สินค้าประมาณ 2,000 รายการ ตู้แช่แข็ง 1 ตู้ และไซส์ L พื้นที่ขาย กว่า 80-120 ตร.ม. สินค้าประมาณ 2,400 รายการ และตู้แช่เย็นสินค้า 3 ประตู 2 ตู้ เป็นต้น
อีกไฮไลท์ของร้านโดนใจ ที่สร้างความแตกต่างจากตลาด คือเจ้าของร้านค้าโชห่วยสามารถเลือกการปรับปรุงหรือตกแต่งร้านค้าตามงบประมาณ และให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ
ผู้ประกอบการยังมีอิสระในการเลือกสินค้ามาจำหน่าย แต่บริษัทมีความเชี่ยวชาญ มีข้อมูล(Data)ในการจำหน่ายสินค้าอย่างยาวนาน จะให้คำแนะนำสินค้าขายดี การมีทีมงานมืออาชีพไปเยี่ยมทุก 1-2 สัปดาห์ และคอยให้คำปรึกษา หน่วยรถพร้อมเติมสินค้า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ฯ เหล่านี้จะช่วยปั๊มยอดขายให้ร้าน ที่สำคัญการเก็บค่าใช้จ่ายค่าบริหารระบบราว 4,000 บาท ต่อเดือน ส่วนนี้จะถูกคืนกลับไปยังร้านค้ากรณีสั่งซื้อสินค้าหรือมีเยื่อใยกับ “โดนใจ” อย่างมีนัยยะ
“โมเดลเรามีความแตกต่าง ไม่มีการเก็บยอดขายรายวันจากยอดขายสินค้า และการซื้อสินค้ายังมีบริการแบบเชื่อหรือเครดิต 7 วันได้ด้วย ในอนาคตจะขยายเวลาเป็น 14 วัน”
เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต สตูปแรกคือมีร้านครบ 10,000 แห่ง บริษัทมีแผนจะเปิดศูนย์กระจายสินค้า(ดีซี)เพิ่ม จากปัจจุบันใช้ห้างบิ๊กซี ไฮเปอร์มาร์เก็ต 200 สาขา เป็นดีซี เพื่อป้อนสินค้าให้กับร้านโดนใจ
ฐาปณี กล่าวอีกว่า จากการมุ่งยกระดับร้านโชห่วยให้มีศักยภาพ ทันสมัยมากขึ้น คาดว่าจะทำให้เทรนด์ธุรกิจค้าปลีกดั้งเดิมกว่า 4 แสนร้านทั่วประเทศยังเติบโตต่อเนื่องอย่างยั่งยืน ที่สำคัญจะดึงดูดให้ “ทายาท” หรือเจนเนอเรชั่นที่ 2 กลับมาสานต่อกิจการ เนื่องจากรูปแบบร้านใหม่ มีระบบ POS ช่วยการซื้อขาย ไม่ต้องจดจำ และสต๊อกสินค้า ทำให้การค้าขายในชุมชนมีพลังยิ่งขึ้น
“เทรนด์การทำร้านโชห่วยยังไปต่อได้ และแนวโน้มมีความแข็งแรงขึ้นด้วย”
อย่างไรก็ตาม หากบริษัทพลิกโชห่วยเป็นร้านโดนใจตามเป้าหมาย 30,000 แห่ง คาดว่าจะกระตุ้นเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจมูลค่า 50,000 ล้านบาท
“ร้านโดนใจ เกิดขึ้นบนความตั้งใจของเราที่ต้องการจะเข้ามาช่วยพัฒนาร้านโชห่วยให้มีการบริหารจัดการที่ดี ซึ่งในท้ายที่สุดจะส่งผลต่อการเติบโตแบบยั่งยืนทั้งระบบ”