งบกองทัพ 1.2 แสนล้านผ่านฉลุย ด้วยเสียง 247 ต่อ 195 งดออกเสียง 11 แม้ฝ่ายค้านซักฟอกงบกลาโหม อัดทหารไม่ถือปืนแต่เลี้ยงไก่ ข้องใจงบซื้อเรือดำน้ำ แต่ไม่เป็นผล ยืนตาม กมธ.เสียงข้างมาก
เมื่อวันที่ 8 ม.ค. 2563 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ.2563 ได้มีการพิจารณางบประมาณในส่วนของกระทรวงกลาโหมจำนวน 125,918,522,500 บาท โดยส.ส.ฝ่ายค้านอภิปรายท้วงติงพร้อมกับเสนอให้ปรับลดงบประมาณลงบางส่วน
นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ เลขานุการกมธ.ฯ อภิปรายว่า ตนขอปรับลดงบประมาณของกระทรวงกลาโหมออกไปทั้งหมดแบบ 100 % เพราะที่มาของ พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.2551 มีที่มาไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่อว่าจะขัดรัฐธรรมนูญ เพราะพ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว ออกโดย สนช. ที่ขณะนั้นมีเสียงโหวตผ่านพ.ร.บ.ดังกล่าว 85 เสียงเท่ากับเป็นเสียงแค่ 1 ใน 3 ของ สมาชิกสนช.ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของเสียงทั้งหมด
ดังนั้น จำต้องตัดทั้งหมด จะปล่อยให้หน่วยงานที่มีที่มาไม่ถูกต้องตามกฎหมายไม่ได้ นอกจากนี้งบการเงินของกองทัพบกปี 2561 ผู้ว่าสตง.ลงความเห็นว่า สถานะการเงินคลาดเคลื่อนจากความจริง เป็นการใช้งบประมาณไม่ถูกต้องกับบัญชีภาครัฐ
ทั้งในส่วนของกองทัพเรือ กองทัพอากาศ และสำนักงานปลัดกลาโหม หากงบประมาณปี 2561 ท่านยังทำไม่ถูกต้อง แล้วจะให้ใช้งบปี 63 ได้อย่างไร ทั้งนี้งบประมาณกองทัพปี 61 ท่านยังทำไม่ได้ แล้วที่ท่านไล่ไปนั่งนับข้าวร้อยชุดท่านนับถูกได้อย่างไร
นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ อภิปรายประเด็นการจัดซื้อเรือดำน้ำ ว่าในปี 2560 สมัยรัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อนุมัติจัดซื้อแล้ว 1 ลำ และในปีนี้ขอจัดซื้ออีก 2 ลำ ซึ่งหากงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ผ่านความเห็นชอบจากสภาฯ จะเกิดงบผูกพันจำนวน 22,500 ล้านบาท
สภาฯจึงเป็นความหวังสุดท้ายของประชาชนที่จะทำให้งบประมาณเป็นไปอย่างเหมาะสมคุ้มค่า ซึ่งเรือดำน้ำจากจีนที่ไทยสั่งซื้อ คือ รุ่น s - 26 t yuan class ไม่มีความเหมาะสม เพราะเรือดำน้ำรุ่นดังกล่าวระยะปลอดภัยอยู่ที่ระดับความลึก 60 เมตร แต่อ่าวไทยมีความตื้นเขินมีความลึกอยู่ที่ 40 – 50 เมตร เราจึงไม่ควรซื้อเรือดำน้ำมาปักเลนด้วยมูลค่าที่สูงขนาดนี้ จึงขอเชิญชวนสมาชิกจากทุกพรรคมาช่วยกันยับยั้ง อย่าปล่อยให้งบเรือดำน้ำผ่านสภาฯ
นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ อภิปรายงบที่เกี่ยวข้องกับการเกณฑ์ทหารที่ตั้งไว้ 14,990 ล้านบาท โดยเสนอปรับลดลงจำนวน 3,122 ล้านบาท เนื่องจากปัจจุบันกองทัพมีทหารเกณฑ์ประจำการประมาณ 1.2 แสนนาย ซึ่งตนไม่เข้าใจว่าทำไมประเทศต้องมีทหารเกณฑ์ปีหนึ่งจำนวนมากขนาดนี้ ภาพที่ประชาชนคิดคือการปฏิบัติภารกิจเกี่ยวกับการป้องกันประเทศ แต่ความเป็นจริงไม่ใช่แบบนั้น เพราะมีการนำทหารเกณฑ์ไปใช้เป็นพลทหารบริการหรือพลทหารรับใช้ ที่น่าตกใจคือแม้แต่ระดับพันตรีก็ได้พลทหารรับใช้ด้วย
ซึ่งปัจจุบันพบว่า มีทหารบริหารทั้งสิ้น 24,956 นาย จากจำนวนทหารเกณฑ์ 1.2 แสนนาย คิดเป็น 20.83 เปอร์เซ็นต์ ที่ต้องไปทำหน้าที่บริการแทนที่จะไปถือปืน กลับต้องไปถือถาด ถือผ้าชาร์มัวขัดรถ ปลอกทุเรียน เลี้ยงนกเลี้ยงไก่ วันนี้ถ้าปรับลดไม่เอาพลทหารบริการแล้วให้นายพลที่โตแล้วควรซักผ้าเองได้แล้ว ก็จะช่วยประหยักงบได้ 3,122 ล้านบาท
นายขจิตร ชัยนิคม ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า เสนอปรับลดงบประมาณกระทรวงกลาโหมและหน่วยงานในกำกับ จำนวน 10 % เนื่องจากความไร้ประสิทธิภาพของการบริหารราชการในกระทรวงกลาโหม เนื่องจากไม่สามารถปราบปรามยาเสพติด, แก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ หรือ ทำให้การเลือกตั้งสุจริตเที่ยงธรรม การดูแลเลือกตั้งไม่ใช่หน้าที่ทหาร แต่ใช้ทหารทำหน้าที่จึงต้องตรวจสอบ
ทั้งนี้ มีนายทหารหารือตนถึงการจัดเลือกตั้งที่สุจริต ซึ่งตนให้คำแนะนำว่า การซื้อเสียงไม่ได้ทำการลับ ดังนั้นขอให้ทหารจับกุม แต่ทหารระบุว่าไม่สามารถจับได้ เพราะกลัวประชาชนเกลียด ทำให้การจัดเลือกตั้งที่สุจริตไม่สามารถเกิดขึ้น
การเสนอปรับลดงบประมาณของกองทัพที่ตนเสนอ เพราะมีส.ส.บางคนเสนอให้ปรับลดอัตรานายพล เพราะปัจจุบันอัตรานายพล 1 ตำแหน่งเท่ากับนายทหาร 600 นาย ขณะที่สหรัฐอเมริกา นายพล 1 คน เท่ากับนายทหาร 1,600 นาย ทั้งนี้ มีนิตยสารประเทศญี่ปุ่นเขียนบทความระบุว่ากองทัพของไทยแม้จะเก่ง ทำทุกอย่างได้ แต่กลับแพ้การทำสงคราม และตนขอให้กองทัพที่ได้รับงบประมาณปี 2563 ทำหน้าที่เอาชนะสักแนวรบให้ได้
นายสันติ กีระนันทน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะเลขานุการคณะกรรมาธิการวิสามัญ ชี้แจงว่า การซื้อเรือดำน้ำเป็นการดำเนินแบบจีทูจี ลักษณะของอ่าวไทยและอันดามัน จะพบว่าอ่าวไทยมีความลึกเฉลี่ย 50 เมตร โดยจุดที่ลึกที่สุด คือ 80 เมตร ดังนั้น เรือดำน้ำมาอยู่แถวอ่าวไทยไม่ได้หมุดโคลนหรือเลนทั้งสิ้น ส่วนอันดามันต่างจากอ่าวไทย โดยอันดามันจะมีชายฝั่งที่หักลงทันที
การที่มีเรือดำน้ำนั้นยุทโธปกรณ์ต้องเป็นลักษณะอำพราง เพื่อไม่ให้ข้าศึกจอดอยู่ที่ใดบ้าง จึงจำเป็นต้องมีมากกว่าหนึ่งลำ สำหรับความจำเป็นที่ต้องมีเรือดำน้ำนั้น เพราะประเทศเพื่อนบ้านมีเรือดำน้ำประจำการเป็นส่วนใหญ่แล้ว ถ้าประเทศไทยไม่เตรียมแสนยานุภาพให้ทัดเทียมเพื่อนบ้าน จะทำให้เจรจาต่อรองทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นไม่ได้
"งบประมาณของกระทรวงกลาโหมมีสัดส่วน 1.3%ของจีดีพี ส่วนประเทศอื่นๆมีงบประมาณ 2%ต่อจีดีพี สำหรับเป็นงบประมาณทางการทหาร ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเป็นการเล็งเห็นถึงความสำคัญในการจัดทำงบประมาณด้านอื่นๆเช่นกัน จึงไม่ได้ทำงบประมาณกลาโหมไปให้ถึงค่าเฉลี่ยที่ 2% ขอยืนยันว่าแสนยานุภาพทางทหารไม่ได้มีเพื่อรบกับใครเท่านั้น แต่มีไว้เพื่อความพร้อม หากไม่มีความพร้อมและความมั่นคงทางการทหาร ความมั่นคงในเรื่องอื่นๆอาจมีปัญหาตามมาอย่างที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้" นายสันติ กล่าว
ต่อมาเมื่อเวลา 23.30น. ที่ประชุมสภาฯมีมติเสียงข้างมาก 247 ต่อ 195 คะแนน เห็นชอบการจัดทำงบประมาณของกระทรวงกลาโหม โดยมีส.ส.งดออกเสียงจำนวน 11 คน