นายกรัฐมนตรี ไม่แคร์ “อนุดิษฐ์” ตั้งฉายา “บิดาแห่งความเหลื่อมล้ำ ผู้นำแห่งการก่อหนี้” ยืนยันรัฐบาลมีความห่วงใยเหมือนกับฝ่ายค้าน
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ลุกขึ้นชี้แจง น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส. กทม.พรรคเพื่อไทย ในส่วนภาพรวมธุรกิจ สภาพัฒน์ฯ ก็นำไปรวบรวมในส่วนของร่างงบประมาณ ปี 64 แต่ไม่ลืมที่จะมีงบประมาณบางส่วนคั่งค้างอยู่ ในช่วงไตรมาสสุดท้ายก็ยังคงอยู่ และงบประมาณในเงินกู้ 1,000,000 ล้านบาท ก็นำไปช่วยเหลือเยียวยาในก้อนแรก ส่วนงบประมาณการฟื้นฟู 4 แสนล้าน ที่จะเข้ามาในเดือนกรกฎาคมนี้ ด้านร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ปี 64 จะจัดสรรทุกอย่างตามกรอบยุทธศาสตร์ชาติ รัฐบาลมีความห่วงใยไม่ต่างกับฝ่ายค้าน และตนก็เคยเป็นทหาร ท่านก็เคยเป็นเช่นกัน ตนก็มีสไตล์การพูดที่แตกต่างจากท่าน จะให้พูดแบบท่านก็คงไม่ได้
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า อยากให้กลับไปคิดว่า งบประมาณปี 63 มีอะไรบ้าง ทั้งงบเงินกู้เยียวยา หรือฟื้นฟูเพื่อให้ดำรงอยู่ได้ โดยเฉพาะภาคธุรกิจ SMEs ขนาดกลาง และขนาดย่อม รัฐบาลก็ดูแลในเรื่องภาษีเช่นกัน แต่สิ่งที่ท่านพูดเกี่ยวกับรายได้ที่ลดลงมา ซึ่งเราต้องมองว่าวันหน้าเราจะหารายได้ยังไง รัฐบาลพยายามที่จะหารายได้เข้าประเทศ อาทิ การลงทุนรถไฟความเร็วสูง / โครงการ EEC รวมถึงการลงทุนใน 10 จังหวัดชายแดน เพื่อให้เศรษฐกิจในประเทศจะฟื้นตัว และการลงทุนมีมากขึ้น นี่คือสิ่งที่ควรจะให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ถ้าหากมองย้อนไปในอดีตเคยมีรัฐบาลไหนทำโครงการขนาดใหญ่แบบนี้หรือไม่ ตนไม่เคยกล่าวก้าวล่วงใคร แต่คนที่วิพากษ์วิจารณ์อยากให้เข้าใจว่ารัฐบาลตั้งใจทำ งานของรัฐบาลที่ยากกว่าจะคิดแค่ทำได้หรือไม่ได้
ส่วนงบประมาณปี 63 / พ.ร.ก.เงินกู้ / พ.ร.บ.โอนงบประมาณ ปี 63 และร่างงบประมาณ ปี 64 แผนงานทั้งหมดจะต้องละเอียดมากกว่านี้ สิ่งพวกนี้เป็นเพียงแค่ยอดวงเงิน และเมื่อถึงเวลาแต่ละกระทรวงจะเป็นผู้ให้รายละเอียด และคณะรัฐมนตรีจะทำหน้าที่คัดกรองว่าสิ่งที่เสนอมาเข้า จำเป็นหรือไม่ หากไม่มีความจำเป็นก็จะไม่อนุมัติ ตนใช้สติปัญญาในการบริหาร พูดแล้วก็ต้องทำให้ได้ อะไรที่ยังไม่สมบูรณ์เราก็ต้องทำให้ดีขึ้น ความเดือดร้อนของประชาชนไม่เท่ากัน จะต้องทำอย่างไรให้ประชาชนสามารถมีเงินเลี้ยงดูตัวเองได้ อีกทั้งให้เจ้าของธุรกิจ กิจการต่าง ๆ สามารถดำเนินธุรกิจได้เช่นกัน
อีกทั้ง การแก้ไขโควิด-19 จะให้มีการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การรักษาพยาบาล ทุกอย่างคือการแสดงศักยภาพของไทย ถ้าคุณมีความคิดที่ดีก็เสนอ ตนพร้อมรับฟัง ทุกคนต้องช่วยกันไม่งั้นประเทศไปข้างหน้าไม่ได้
ส่วนการดูแลธุรกิจขนาดใหญ่ และขนาดกลาง ได้รับการดูแลจากธนาคารพาณิชย์ หรือธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งทุกธนาคารมีมาตรการอยู่แล้ว แต่ที่ตนเป็นห่วง คือ ประชาชนชาวฐานรากที่ยังมีหนี้ มีการเรียกร้องให้ตนดูแลผู้มีรายได้น้อย แต่พอตนจะช่วยก็อ้างหนี้สาธารณะขึ้นมาว่ามีจำนวนเพิ่มขึ้น และเงินให้กู้ไม่ใช่เงินของรัฐบาล แต่เป็นเงินของภาษีจากประชาชน ดังนั้น จะต้องคุยกันเพื่อหาความคล่องตัว ถ้าทุกคนร่วมมือกันทุกอย่างก็จะไปได้ เพราะช่วงนี้อยู่ในช่วงฟื้นฟู ประเทศจะต้องเข้มแข็งด้วยความร่วมใจ ไทยสร้างชาติ ไม่ว่าจะใครก็ตามคิดถึงตรงนี้ด้วย
ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวขอโทษในที่ประชุมสภาฯ สาเหตุจากการพูดเสียงดังด้วยว่า “ตนเป็นคนพูดเสียงดัง พูดดังก็เวียนหัว ขอโทษครับคุณผู้หญิง เรียนท่านประธานนะครับขอโทษที่ผมเสียงดัง”
จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวถึงการทำงานในส่วนท้องถิ่นด้วยว่า อย่าไปยุ่งกับการทำงานระดับท้องถิ่น ตนขอร้องอย่ายุ่งเด็ดขาด หรือมายุ่งกับงานในกระทรวง ทุกคนรู้ อย่าให้เกิดขึ้นอีก การดูแลช่วยเหลือจะต้องตรงกับปัญหาไม่ใช่หว่านไปเรื่อย อย่าใช้คำว่าฐานะมาแบ่งแยกกัน หนี้สาธารณะในต่างประเทศมากกว่าไทยหลายเท่า
ส่วนเรื่องการปรับโครงสร้างและหน่วยงาน ตนกำลังทำอยู่ การทำงานอะไรที่ไม่มีประสิทธิภาพก็จะต้องลดลง ทุกคนต้องยอมรับ พอถึงเวลาจะมาอ้างเดือดร้อนไม่ได้ ทุกคนต้องปรับตัวเพื่อรองรับกิจกรรมใหม่ ๆ ภาคเกษตรควรคำนึงถึงดีมานซัพพลาย ทำอย่างไรถึงจะเป็นเกษตรที่ลดมูลค่าในการลงทุนหรือค่าใช้จ่าย แต่เพิ่มกำไรและราคาให้สูงขึ้น ถ้าราคาเราสูงเราก็จะไม่สามารถขายสู้ใครได้ และกิจการรถยนต์ที่บางส่วนย้ายฐานผลิตไปประเทศอื่น เป็นเพราะประเทศอื่นค่าแรงถูกกว่าไทย แต่โรงงานหลักก็ยังคงอยู่ในไทย ส่วนตัวมองว่า ถ้าเราเดินไปข้างหน้าแต่สถานการณ์ไม่สงบ นักลงทุนก็ไม่กล้าลงทุน ทำไมเราถึงต้องทำให้ประเทศเกิดความไม่สงบ เราต้องทำให้เขามั่นใจ แต่ทั้งนี้เราต้องการสงวนอาชีพและการลงทุนให้กับคนไทย รัฐบาลไม่สามารถปรับอะไรได้มากเพราะประชาชนบางส่วนไม่เข้าใจ
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวทิ้งท้ายว่า ฉายาที่ท่านตั้งให้ผม ผมไม่ว่า และผมไม่อยากไปตั้งฉายาให้ใคร หากใครจะตั้งก็เรื่องของเขา