svasdssvasds

คดีหมิ่นประมาท อ้างฟ้องปิดปาก (SLAPP) ก็ไม่รอดหากไร้ข้อมูลจริง

สังคมออนไลน์ต้องระวัง! การแสดงความเห็นใส่ร้ายผู้อื่นโดยไม่มีหลักฐาน อาจเจอข้อหาหมิ่นประมาท แม้จะยกเรื่องการฟ้องปิดปาก (SLAPP) มาสู้ก็ยากจะรอด

SHORT CUT

  • การวิจารณ์หรือกล่าวหาผู้อื่นในโลกออนไลน์โดยไม่มีหลักฐานข้อเท็จจริง อาจเข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นประมาท แม้ผู้ถูกฟ้องจะอ้างว่าเป็นการฟ้องปิดปาก (SLAPP) ก็ตาม

  • กฎหมายแยกเจตนาชัดเจนระหว่าง "การฟ้องปิดปาก" ที่มุ่งข่มขู่ผู้แสดงความเห็นในเรื่องประโยชน์สาธารณะ กับ "การฟ้องเพื่อปกป้องสิทธิ์" ของผู้ที่ถูกใส่ความด้วยข้อมูลเท็จ

  • ก่อนโพสต์หรือแชร์ข้อมูลใดๆ ควรตรวจสอบความถูกต้องเสมอ เพราะสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นต้องมาพร้อมกับความรับผิดชอบ เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายและถูกดำเนินคดี

สังคมออนไลน์ต้องระวัง! การแสดงความเห็นใส่ร้ายผู้อื่นโดยไม่มีหลักฐาน อาจเจอข้อหาหมิ่นประมาท แม้จะยกเรื่องการฟ้องปิดปาก (SLAPP) มาสู้ก็ยากจะรอด

สังคมออนไลน์ต้องตระหนัก การวิพากษ์วิจารณ์หรือเปิดโปงใดๆ ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความจริงและมีหลักฐานรองรับ ย้ำชัดการใช้ข้อมูลเท็จสร้างความเสียหายให้ผู้อื่น แม้จะอ้างว่าเป็นคดีฟ้องปิดปาก (SLAPP) ก็ไม่อาจรอดพ้นความผิดฐานหมิ่นประมาทได้ ชี้การฟ้องเพื่อปกป้องสิทธิ์โดยสุจริตเป็นสิ่งที่กฎหมายคุ้มครอง

 

ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารและกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมออนไลน์เป็นไปอย่างรวดเร็ว มีกรณีพิพาทจากการแสดงความคิดเห็นจนนำไปสู่การฟ้องร้องดำเนินคดีฐานหมิ่นประมาทให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งหลายกรณีฝ่ายที่ถูกฟ้องมักยกประเด็นเรื่อง "การฟ้องคดีเพื่อปิดปาก" หรือ SLAPP (Strategic Lawsuit Against Public Participation) ขึ้นมาต่อสู้ อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายย้ำเตือนว่า สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นต้องมาพร้อมกับความรับผิดชอบ และการกล่าวหาผู้อื่นด้วยข้อมูลเท็จ หรือการแสดงความเห็นโดยปราศจากหลักฐาน ย่อมสุ่มเสี่ยงต่อการถูกดำเนินคดีและมีโอกาสสูงที่จะแพ้คดี

 

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือกรณีที่บุคคลมีชื่อเสียง เช่น ดารา นักแสดง ถูกผู้ใช้อินเทอร์เน็ต (นักเลงคีย์บอร์ด) กล่าวหาในทางเสื่อมเสีย เช่น การกล่าวหาว่าแย่งชิงคู่สมรสของผู้อื่น จนเกิดความเข้าใจผิดและสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียง การที่ผู้เสียหายลุกขึ้นมาฟ้องร้องดำเนินคดีหมิ่นประมาทนั้น ถือเป็นการปกป้องเกียรติยศและสิทธิตามกฎหมายของตนเอง ซึ่งหากผู้กล่าวหาไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์ข้อกล่าวอ้าง ก็จะต้องรับผิดตามกฎหมาย

 

เช่นเดียวกับกรณีที่สื่อมวลชนหรือนักข่าวบางรายนำเสนอข้อมูลที่บิดเบือน หรือกล่าวหาองค์กรใดๆ โดยไม่มีข้อเท็จจริงมารองรับ หากองค์กรผู้เสียหายสามารถพิสูจน์ได้ว่าข้อมูลดังกล่าวเป็นเท็จและส่งผลกระทบต่อองค์กรจริง ก็สามารถฟ้องร้องฐานหมิ่นประมาทได้เช่นกัน

เส้นแบ่งระหว่าง "ฟ้องปิดปาก" กับ "การปกป้องสิทธิ์"

แม้ปัจจุบันจะมีการตื่นตัวเรื่องกฎหมายต่อต้านการฟ้องคดีปิดปาก (Anti-SLAPP) มากขึ้น แต่จำเป็นต้องทำความเข้าใจถึงเจตนารมณ์ที่แท้จริงของคดีประเภทนี้

 

คดีที่อาจเข้าข่ายการฟ้องปิดปาก (SLAPP) มีลักษณะสำคัญคือ

  • มีเจตนาเพื่อข่มขู่: ผู้ฟ้องมุ่งหวังที่จะคุกคามหรือปิดปากผู้ที่กำลังใช้สิทธิตรวจสอบเรื่องที่เกี่ยวกับประโยชน์สาธารณะ เช่น การทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐ หรือผลกระทบจากโครงการขนาดใหญ่
  • ฟ้องโดยไม่มีมูล: เป็นการฟ้องเพื่อกลั่นแกล้ง ทำให้ผู้ถูกฟ้องต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดี จนเกิดความหวาดกลัวและยอมยุติการเคลื่อนไหวไปเอง
  • ผู้ฟ้องมีอำนาจเหนือกว่า: มักเป็นกรณีที่องค์กรขนาดใหญ่ฟ้องร้องประชาชนรายย่อย หรือผู้มีอำนาจรัฐฟ้องร้องนักเคลื่อนไหว

ในทางกลับกัน การฟ้องที่ไม่ใช่คดีปิดปาก จะมีลักษณะดังนี้

  • ฟ้องเพื่อปกป้องสิทธิ์: ผู้ฟ้องเป็นผู้เสียหายที่ถูกใส่ความด้วยข้อมูลเท็จ และต้องการปกป้องชื่อเสียงของตนตามกฎหมาย
  • จำเลยหมิ่นประมาทจริง: ผู้ถูกฟ้องได้กระทำการหมิ่นประมาทหรือมีเจตนาใส่ร้ายจริง โดยปราศจากหลักฐานข้อเท็จจริง
  • ไม่ได้มุ่งระงับการมีส่วนร่วมของสาธารณะ: การฟ้องไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อให้จำเลยหยุดแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต แต่เพื่อเรียกร้องความรับผิดชอบต่อข้อมูลเท็จที่เผยแพร่ออกไป

 

ดังนั้น การที่บุคคลหรือองค์กรจะฟ้องร้องดำเนินคดีเพื่อปกป้องตนเองจากการถูกใส่ความด้วยข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง จึงไม่ถือเป็นการฟ้องปิดปาก แต่เป็นการใช้สิทธิ์อันชอบธรรมตามกฎหมาย

 

ท้ายที่สุดแล้ว หลักการสำคัญของการแสดงความคิดเห็นในที่สาธารณะคือการตั้งอยู่บนพื้นฐานของ "ความจริง" ก่อนจะวิพากษ์วิจารณ์หรือส่งต่อข้อมูลใดๆ ควรตรวจสอบให้แน่ใจถึงความถูกต้อง เพื่อหลีกเลี่ยงการสร้างความเสียหายให้แก่ผู้อื่น อันจะนำมาซึ่งความรับผิดชอบทางกฎหมายที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

related