จับตาเลือกตั้ง 2019 ชี้ชะตาการเมืองหลายชาติเอเชีย

ในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคมปี 2019 ชาติประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดอย่างอินเดีย จะมีการเลือกตั้งทั่วไป โดยมีผู้มีสิทธิออกเสียงถึงเก้าร้อยล้านคน ความน่าสนใจนอกจากจะอยู่ที่บริหารจัดการเลือกตั้งขนาดใหญ่แล้ว ยังมีประเด็นความแบ่งแยกทางศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย พรรคภาระติยะ จานะตะ หรือ บีเจพี ซึ่งเป็นพรรคชาตินิยมฮินดู นำโดยนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ลงชิงชัย ตั้งเป้าเป็นรัฐบาลอีกสมัย ซึ่งหากชนะการเลือกตั้งอีกครั้งแบบถล่มทลาย นักวิเคราะห์มองว่าจะมีความเสี่ยงต่อสถานการณ์ของชาวมุสลิมอินเดียที่มีประชากรเพียง 175 ล้านคน

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีโมดีมีประวัติอันอื้อฉาว นั่นก็คือ เขาเคยถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการลุกฮือที่แคว้นคุชราตในปี 2002 ซึ่งจบลงด้วยการเสียชีวิตของประชาชนนับพัน ส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม แม้ระหว่างดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เขาเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนจากนโยบายช่วยเหลือคนจน และสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ แต่ในยุคของเขา ชาวมุสลิมชนกลุ่มน้อยตกเป็นเป้าในการกีดกันทางสังคมและการโจมตีมากขึ้นด้วยเช่นกัน

อีกประเทศที่จะมีการเลือกตั้งในเดือนเมษายนปีเดียวกันนี้ก็คืออินโดนีเซีย ประธานาธิบดีโจโก วิโดโด หรือโจโกวี ลงชิงชัยอีกสมัย ต่อสู้กับคู่ปรับเดิมจากการเลือกตั้งรอบที่แล้ว นายพลปราโบโว สุเบียนโต เป็นการเลือกตั้งที่ดุเดือดอีกครั้งหนึ่ง การเลือกตั้งครั้งนี้มีอิทธิพลของศาสนามาเกี่ยวข้องเช่นกัน นายโจโกวี เลือกคู่ชิงรองประธานาธิบดีชื่อ มารุฟ อามิน ประธานของสภาอูเลมา ซึ่งเป็นองค์กรอิสลามที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ในขณะที่นายพลปราโบโว เลือกคู่ชิงรองประธานาธิบดีคือ ซานดิอากา อูโน นักธุรกิจชื่อดัง

นายโจโกวีนั้นยังมีคะแนนนิยมสูง เขาดำเนินนโยบายแบบเสรีนิยมมากกว่าเมื่อเทียบกับผู้นำชาติอื่นๆในอาเซียนด้วยกัน แต่นั่น ก็ทำให้เขาตกเป็นเป้าโจมตีจากฝ่ายอนุรักษ์นิยมอยู่บ่อยครั้ง รวมถึงนักการเมืองดาวรุ่งใกล้ชิดเขา นายอาฮก อดีตผู้ว่ากรุงจาการ์ต้า ซึ่งนับถือศาสนาคริสต์และมีเชื้อสายจีน ถูกตัดสินจำคุกระหว่างลงชิงชัยเลือกตั้งผู้ว่าฯอีกสมัย ฐานหมิ่นศาสนาอิสลามด้วย การเลือกคู่รองชิงประธานาธิบดีของนายโจโกวีที่มาจากฝ่ายอนุรักษ์นิยมจึงถือเป็นนัยยะสำคัญในการขอเสียงสนับสนุนจากฝ่ายอนุรักษ์นิยมนั่นเอง

ปิดท้ายกันที่ประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งจะมีการเลือกตั้งกลางเทอมในเดือนพฤษภาคม มีที่นั่งในการเมืองระดับชาติและท้องถิ่นถึง 18095 ที่นั่งให้ผู้สมัครลงชิงชัย เช่น สว. 12 ที่นั่ง / สส.แบบเขต 243 ที่นั่ง / สส. ปาร์ตี้ลิสต์ 81 คน /ผู้ว่าราชการจังหวัด 81 คน / นายกเทศมนตรี 145 เมือง / และ สภานิติบัญญัติประจำจังหวัด 780 ที่นั่ง เป็นต้นโดยผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งมีถึง 61 ล้านคน

แม้ไม่ใช่การเลือกตั้งประธานาธิบดี แต่การเลือกตั้งในปี 2019 นี้ เปรียบเสมือนการให้ประชาชนลงประชามติว่า 3 ปีของประธานาธิบดีโรดริโก ดูแตร์เต้นั้นสอบผ่านหรือไม่ ท่ามกลางสไตล์การทำงานแบบถึงลูกถึงคน และเผชิญเสียงวิจารณ์ความรุนแรงของสงครามต่อต้านยาเสพติดของเขาที่มีประชาชนเสียชีวิตไปแล้วหลายพันชีวิตจากการวิสามัญฆาตกรรมของเจ้าหน้าที่นั่นเอง