ผลวิจัยจากจีน ระบุ ผู้ป่วยโควิด 19 เป็นซ้ำ เพราะ เชื้อไวรัสยังไม่ได้หายไปไหน และอาจตรวจได้ผลลบปลอม หรือ False – Negative แนะโรงพยาบาลตรวจเชื้อ 2 ครั้ง ภายในระยะห่าง 48 ชั่วโมง ด้วยวิธีที่ต่างออกไป และให้กักตัวหลังออกจากโรงพยาบาล 14 วัน
ผลวิจัยจากจีน ครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่มีรายงานข่าวเรื่องตรวจพบเชื้อโควิด 19 ซ้ำในผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว ทั้งในจีน เกาหลี และไทย ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าการติดเชื้อใหม่เป็นครั้งที่ 2 เกิดจากสาเหตุใด
ดร. เยาวลักษณ์ มะปราง รสหอม จากคณะทรัพยากรชีวภาพและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี นักวิจัยโครงการ “สนับสนุนข้อมูลวิจัยเชิงลึกด้านเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19)” สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ศึกษาผลวิจัยจากจีน 3 เคส ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นดังกล่าว พบว่า
การศึกษาชิ้นที่ 1
ทำการเก็บข้อมูลผู้ป่วยโควิด 19 จำนวน 172 คนที่ถูกปล่อยตัวกลับบ้านหลังจากรักษาจนอาการดีขึ้น ในช่วงวันที่ 23 มกราคม 2563 ถึง 21 กุมภาพันธ์ 2563 ก่อนปล่อยตัวกลับบ้าน
คนไข้กลุ่มนี้มีผลซีทีสแกนปอดดีขึ้น และทำการตรวจด้วยวิธี RT-PCR หรือ การตรวจแม่นยำระดับสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัส ไม่พบไวรัส 2 ครั้งในระยะเวลาตรวจห่างกัน 24 ชั่วโมง
ต่อมาในช่วงกักตัวต่อที่บ้าน มีการเก็บตัวอย่างจากทั้งช่องทวารหนัก และคอหอยหลังโพรงจมูกไปตรวจด้วยวิธี RT-PCR ทุกๆ 3 วัน พบไวรัสจากตัวอย่างที่เก็บจากช่องทวาร 14 คน และจากคอหอยหลังโพรงจมูก 11 คน รวม 25 คน จาก 172 คน หรือพบผู้ป่วย 14.5 เปอร์เซ็นต์ เป็นโรคโควิด 19 ซ้ำ
คนไข้กลุ่มนี้มีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 28 ปี เป็นผู้หญิง 17 คน เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี 6 คน จากประวัติการรักษา ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีระยะเวลาอยู่ใน โรงพยาบาลเฉลี่ย 12-18 วัน ได้รับยาต้านไวรัส 10–16 วัน ซึ่งไม่แตกต่างกับผู้ป่วยอื่นๆ และออกจากโรงพยาบาลเฉลี่ย 1–4 วัน หลังมีผลตรวจเชื้อเป็นลบ
ส่วนระยะเวลาที่ตรวจพบเชื้อนับจากวันออกจากโรงพยาบาลเฉลี่ย 1–10 วัน อาการของผู้ป่วยกลุ่มนี้ตอนติดเชื้อเริ่มแรก คือ มีไข้ 68 เปอร์เซ็นต์ และไอ 60 เปอร์เซ็นต์ โดยมี 24 คนที่จัดอยู่ในกลุ่มอาการที่ไม่รุนแรง
ระหว่างการรักษารอบที่ 2 คนไข้กลุ่มนี้ได้รับยาสมุนไพรจีนสูตรทำความสะอาดปอดภายใต้การยินยอมของผู้ป่วย ผลการตรวจเชื้อ พบว่า เฉลี่ยภายในไม่ถึง 3 วัน หลังเข้าโรงพยาบาลรอบที่ 2 ผลตรวจไวรัสกลับไปเป็นลบอีกครั้ง
จากการศึกษา ทีมวิจัยนี้จึงได้เสนอแนะว่า ก่อนให้ผู้ป่วยกลับบ้านควรทำการตรวจเชื้อ 2 ครั้ง ภายในระยะห่าง 48 ชั่วโมง แทนระยะห่าง 24 ชั่วโมง
และควรทำการตรวจทางห้องปฏิบัติการอื่นเพิ่มเติม เพื่อยืนยันว่าผู้ป่วยหายดีแล้วจริงๆ
การศึกษาที่ 2
ได้เก็บข้อมูลของผู้ป่วย 1 คน เป็นผู้ชายอายุ 54 ปี ที่รักษาโดยการให้ออกซิเจน ฮอร์โมน และยา หลังจากผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น และตรวจไม่พบเชื้อไวรัสจากตัวอย่างที่เก็บจากบริเวณคอ 2 ครั้งติดต่อกัน โดยเก็บห่างกัน 24 ชั่วโมง
ผู้ป่วยถูกย้ายไปยังหน่วยกักกันเพื่อสังเกตอาการต่อ แต่หลังจากนั้นอีก 5 วันก็ตรวจพบไวรัสอีกครั้งในทวารหนักและตัวอย่างเสมหะ รวมถึงมีผลตรวจเป็นบวกไปเรื่อยๆ อีก 16 วัน
การศึกษาที่ 3
ได้วิเคราะห์ผู้ป่วยหญิงอายุ 46 ปี ที่มีไข้ ปอดอักเสบ และได้รับการรักษาด้วยยาต้านจุลชีพ ผลตรวจเชื้อจากตัวอย่างที่เก็บจากบริเวณคอหอยเป็นลบ 2 ครั้งติดต่อกัน ซึ่งใช้การตรวจแต่ละครั้งห่างกัน 48 ชั่วโมง
แต่ 3 วันต่อมาผลตรวจกลับเป็นบวกอีกครั้ง และหลังจากนั้นผลตรวจก็กลับไปเป็นลบต่อเนื่อง
นักวิจัยจากทั้ง 2 การศึกษาให้ความเห็นตรงกันว่า ผลตรวจที่เป็นลบก่อนหน้าที่จะกลับมาเป็นบวก น่าจะเป็น ผลลบปลอม หรือ False – Negative หมายถึงตรวจพบไม่เจอเชื้อแต่จริงๆ แล้วมีเชื้อ
ซึ่งเกิดจากสาเหตุดังนี้
1. ตำแหน่งและประเภทตัวอย่างที่เก็บ
2. วิธีการ เก็บตัวอย่าง
3. ผลจากยาต้านไวรัสหรือฮอร์โมน กรณีผู้ป่วยทานยารักษาโรคอื่นๆ พร้อมกับรักษาอาการโควิด 19
4. ความไวของชุดตรวจ ผลการศึกษาทั้ง 2 เคส นำไปสู่คำแนะนำเพิ่มเติมว่า ควรมีการตรวจในตัวอย่างอื่นด้วยเช่นเสมหะ อุจจาระ เลือด เพราะ ไวรัสชนิดนี้ติดเชื้อเพิ่มจำนวนได้ดีในเซลล์ปอด แต่การเก็บตัวอย่างที่บริเวณคอหรือหลังโพรงจมูกอาจจะได้ไวรัสน้อยและเกิดผลลัพธ์เทียมได้ รวมทั้งควรตรวจด้วยวิธีการอื่น เช่นตรวจวัดแอนติบอดี ก่อนที่จะปล่อยตัวผู้ป่วยกลับบ้าน และแนะนำว่าผู้ป่วยที่ออกจากโรงพยาบาล ควรกักตัวเองที่บ้านต่ออีก 14 วัน
ดร.เยาวลักษณ์ กล่าวสรุปข้อมูลงานวิจัยว่า การศึกษาทั้ง 3 กรณีนี้ ค่อนข้างชี้ชัดไปในทางเดียวกันว่าการตรวจพบเชื้อซ้ำในผู้ป่วยที่รักษาหายดีแล้ว น่าจะเกิดจาก ผลลบเทียม หรือ False – Negative ของการตรวจก่อนหน้านี้จากปัจจัยหลายอย่าง ซึ่งชี้ให้เห็นว่าจริงๆ แล้ว ผู้ป่วยกลุ่มนี้ยังมีไวรัสอยู่ในร่างกาย ซึ่งถ้าปล่อยกลับบ้านโดยไม่ตรวจสอบให้ดี อาจเป็นแหล่งแพร่เชื้อได้
ประเทศไทยเองก็อาจต้องพิจารณาปรับวิธีการและเกณฑ์การประเมินผู้ป่วยตามข้อมูลใหม่ๆ ที่ออกมา ก่อนที่จะปล่อยผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาลเพื่อป้องกันการป่วยซ้ำและการแพร่กระจายของเชื้อไปสู่ผู้อื่น