เลขานุการมูลนิธิอันดามัน เห็นด้วยกับแนวทางการดูแลอนุบาลพะยูนน้อย “มาเรียม” ของเจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง แต่เกรงจะติดคนเกินไปซ้ำรอย “เจ้าโทน” จนต้องตายด้วยเครื่องมือประมง ขณะวันนี้ "มาเรียม" ร่างกายแข็งแรง กินนมได้มากขึ้น
เจ้าหน้าที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่าหมู่เกาะลิบง สัตวแพทย์ประจำกลุ่มสัตว์ทะเลหายาก กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ร่วมกับจิตอาสาทีมพิทักษ์ดุหยง ดูแลอนุบาลพะยูนน้อย “ น้องมาเรียม” บริเวณเขาบาตู หมู่ 4 ต.เกาะลิบง อ.กันตัง จ.ตรัง อย่างใกล้ชิด โดยได้ตรวจการเต้นของหัวใจ พบว่าปกติดี รวมทั้งป้อนนมเพิ่มขึ้น ร่างกายแข็งแรงดี จากนั้น เจ้าหน้าที่เขตฯ ลิบง ได้พายเรือ (แม่ส้ม) พา “มาเรียม” ว่ายน้ำออกกำลังกายในทะเล บริเวณแนวทุ่น ที่ได้ประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจกับเรือประมง ไม่ให้เข้าใกล้พื้นที่อนุบาลพะยูนน้อย ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี
ด้าน นายภาคภูมิ วิธานติรวัฒน์ เลขานุการมูลนิธิอันดามัน กล่าวว่า การดูแล “มาเรียม” ลูกพะยูนพลัดหลงแม่ โดยหลักการต้องดูแลให้สามารถปรับตัวอยู่ในธรรมชาติได้ และพึ่งตัวเองให้ได้ในที่สุด ที่ผ่านมา มีประสบการณ์การดูแลพะยูนเด็กชื่อ “เจ้าโทน” ที่เคยเอามาเลี้ยงในทะเลตรัง มีความคุ้นเคยกับคนสูง จนสุดท้ายต้องติดเครื่องมือประมงตาย การดูแล “มาเรียม” จึงน่าจะนำประสบการณ์ก่อนหน้านี้มาปรับใช้ ไม่ให้ติดคนมากเกินไป ไม่เช่นนั้นจะทำให้พะยูนน้อยไม่สามารถกลับเข้าไปอยู่ในวิถีธรรมชาติได้
ซึ่งแนวทางที่ นายก้องเกียรติ กิตติวัฒนาวงศ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามัน (ภูเก็ต) ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญทางพะยูน ร่วมกับเขตห้ามล่าสัตว์ป่าหมู่เกาะลิบงใช้อยู่ถือเป็นแนวทางที่ถูกต้อง คือ การฝึกให้ “มาเรียม” อยู่กับธรรมชาติและไม่เอาไปไว้ในอ่าง หรือสถานที่ที่จะเก็บไว้ แต่ให้ลูกพะยูนปรับตัวเองกับธรรมชาติ ทั้งช่วงมรสุม และช่วงน้ำขึ้นน้ำลง
นายภาคภูมิ กล่าวอีกว่า ปรากฎการณ์ “มาเรียม” ครั้งนี้ ทำให้ผู้คนได้เห็นลูกพะยูนตัวเป็นๆ ได้สัมผัส ได้ติดตามอย่างใกล้ชิด และเรียนรู้วิถีชีวิตของพะยูน ที่สำคัญ “มาเรียม” เป็นสื่อกลางในการอนุรักษ์พะยูนสู่สังคมไทยมากขึ้น