กรณีหญิงสาวเสียชีวิตด้วยอาการป่วยเอดส์ และมีกระแสข่าวว่าเป็นเพราะไป ”สักลาย” ตามร่างกายจนทำให้ติดเชื้อเอชไอวี พอเป็นประเด็น สื่อก็แข่งกันหาคำตอบ จากคนในแวดวงสาธารณสุข
แต่...คำตอบที่ออกมา กลับยิ่งสร้างความสับสน อาจจะด้วยความไม่รู้จริงๆ เป็นองค์ความรู้เก่า หรืออะไรก็แล้วแต่ การที่ออกมาพูดว่า “การสัก” ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี บางสื่อถึงกับพาดหัวว่า “เสี่ยงกว่ามีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน” เป็นการพูดแบบไม่มีข้อเท็จจริงและขาดหลักการสิ้นเชิง
น.ส.แสงศิริ ตรีมรรคา แห่งมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ ทำงานแวดวงนี้มากว่า 20 ปี ต้องออกมาพูดถึงเรื่องนี้ว่า เรื่องเอดส์นี่ ถ้าไม่ได้คลุกคลีตีโมง ต่อให้เป็นหมอก็มีพลาดได้ มาทำความเข้าใจไปด้วยกันทีละเรื่อง
1. เอดส์กับเอชไอวีต่างกันเอดส์คืออาการป่วยด้วยโรคแทรกซ้อนต่างๆที่เกิดจากภูมิคุ้มกันในร่างกายถูกทำลายด้วยไวรัสเอชไอวีส่วนเอชไอวีคือเชื้อไวรัสสาเหตุที่ทำให้ป่วยเอดส์ดังนั้นเวลาเรียกก็เรียกให้ถูกผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ไม่มีอาการป่วยเราไม่เรียกผู้ป่วยเอดส์
2. การติดเชื้อเอชไอวี ไม่ได้ทำให้ป่วยทันที เพราะกว่าไวรัสเอชไอวีจะทำลายภูมิคุ้มกันจนทำให้ป่วยเอดส์ได้ ใช้เวลาหลายปี บางคนเป็น 10 ปียังไม่ป่วยก็มี ที่เห็นป่วยๆกันส่วนใหญ่ไม่รู้ตัวว่าติดเชื้อฯมาก่อน มารู้เมื่อป่วยแล้ว
3. เอชไอวีติดต่อ หลายคนท่องได้ว่า “ติดต่อได้ 3 ทาง คือทางเลือด เพศสัมพันธ์ และกรณีทารกที่คลอดจากแม่ที่ติดเชื้อฯ ท่องกันแค่นี้ไม่พอ
เพราะหลายคนนึกภาพไม่ออกว่าแบบไหน โดยเฉพาะทางเลือด รู้แต่ว่าต้องมีแผล นี่ก็จินตนาการกันใหญ่ แผลเล็ก แผลน้อย มีเลือดบ้าง ถลอกบ้าง ก็พากันกลัว กังวลว่าจะทำให้ติดเชื้อ
หลักการสากลที่อธิบายกันง่ายๆว่าแบบไหนมีโอกาสและไม่มีโอกาสเสี่ยงติดเชื้อ ซึ่งคนทำงานทั่วโลกรู้จักหลักการนี้ในชื่อเล่นว่า QQR ย่อมาจาก Quality Quantity และRoute of Transmission
Q แรกคือคุณภาพของเชื้อ หมายถึงเอชไอวีจะมีชีวิตได้ในสารคัดหลั่งในตัวคนเท่านั้น (เชื้อไม่สามารถอาศัยในสัตว์เช่น ยุง ได้) ซึ่งสารที่ว่ามีเพียง น้ำไขสันหลัง เลือด น้ำอสุจิ น้ำในช่องคลอด ส่วนน้ำลายไม่มีเชื้อ แต่หลายคนก็ถามว่าแล้วทำไมตรวจหาเชื้อทางน้ำลายได้ การตรวจเชื้อทางน้ำลายที่ว่า เป็นการใช้อุปกรณ์ปาด หรือขูดเบาๆตามกระพุ้งแก้ม ซึ่งจะมีเนื้อเยื่ออ่อนๆออกมาด้วย จึงทำให้ตรวจได้ แต่การตรวจเพื่อหาเชื้อเอชไอวี ที่ยืนยันได้แน่ชัดคือ การตรวจเลือดเท่านั้น
Q ที่สองคือปริมาณของเชื้อเอชไอวีจะเกาะอยู่กับเม็ดเลือดขาวซึ่งจะมีปะปนในสารคัดหลั่งตาม Q แรก ดังนั้นการที่ใครสักคนจะติดเชื้อเอชไอวีได้ ต้องได้รับสารคัดหลั่งที่มีเชื้อฯปนมาในปริมาณที่มากพอ ที่สำคัญเอชไอวีเมื่อออกมานอกร่างกายเพียงไม่กี่วินาทีก็ตายแล้ว ยิ่งเมื่อเจออากาศ สารเคมี น้ำยาล้างห้องน้ำ ฯลฯ
R คือช่องทางออกและเข้าสู่ร่างกาย หมายถึงคนที่มีเชื้อก็ต้องหลั่งสารคัดหลั่งเข้าสู่ร่างกายของอีกคนโดยตรง เช่นการใช้เข็มฉีดยาเสพติดร่วมกันต่อๆกัน หรือการมีเพศสัมพันธ์แบบสอดใส่และหลั่งข้างในเป็นต้น
ถ้าขาดข้อใดข้อหนึ่งใน 3 ช่องทางนี้ถือว่าไม่เสี่ยงต่อการรับเชื้อ
ตุ้ย แสงศิริ บอกอีกว่า กรณี”การสักลาย“ อาจจะมีเลือดติดที่ปลายเข็ม (กรณีเป็นเข็มสักแบบเก่า) ปริมาณเลือดที่ออกไม่มากซิบๆติดปลายเข็มแถมเข็มนี้ยังต้องจุ่มสีซึ่งเป็นสารเคมีถ้ามีเชื้อติดมากับเลือดจริงแค่นี้ก็ตายแล้ว
ที่สำคัญกว่าจะเอามาใช้กับอีกคน ก็ทิ้งช่วงพอควรและเชื่อได้ว่าต้องมีการเช็ดล้างด้วยแอลกอฮอล์กันบ้าง” แบบนี้โอกาสเสี่ยงติดเชื้อฯไม่มีเลย ยิ่งเป็นเครื่องสักลายยิ่งแล้วใหญ่ ปริมาณเลือดที่จะออกมายิ่งน้อยมาก หลักการก็อันเดียวกัน ช่องทางที่จะเข้าสู่ร่างกายอีกคนยิ่งไม่มี เพราะแผลสักลายไม่ได้เป็นแผลเปิดฉกรรจ์จนมีเลือดไหล เป็นได้เพียงรอยถลอกเป็นจ้ำเท่านั้น
ใครกังวลว่าจะเสี่ยงทางไหน? ลองใช้หลักการนี้มาจับประเมินความเสี่ยงตัวเองดูนะ แต่ที่แน่ๆความเสี่ยงต่อการรับเชื้อเอชไอวีเกิน 80% รับเชื้อจากการมีเซ็กส์แบบสอดใส่โดยไม่ป้องกันด้วยถุงยางอนามัย ที่เหลือเป็นกรณีผู้ใช้เข็มฉีดยาเสพติดร่วมกัน และเด็กที่ติดเชื้อเมื่อแรกคลอดเท่านั้น