svasdssvasds

4 สัญญาณเตือนเสี่ยงเป็นโรค ต้อกระจก รู้เท่าทัน รีบป้องกันก่อนตาบอด

4 สัญญาณเตือนเสี่ยงเป็นโรค ต้อกระจก รู้เท่าทัน รีบป้องกันก่อนตาบอด

ต้อกระจก เป็นสาเหตุอันดับหนึ่งที่ทำให้ตาบอด แพทย์ชี้มี 4 สัญญาณเตือน ว่าเสี่ยงเป็นโรคต้อกระจกหรือไม่ แนะตรวจสุขภาพตาปีละ1 ครั้ง รู้เท่าทัน รีบป้องกันก่อนสาย

ดวงตาเป็นส่วนสำคัญของร่างกาย การดูแลสุขภาพดวงตาให้ดีอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้สูญเสียการมองเห็น หรือพัฒนาสู่การเป็น ต้อกระจก จึงเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะดวงตาเป็นอวัยวะที่บอบบาง และหากสูญเสียมันไปแล้วไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้

โรคต้อกระจก เป็นสาเหตุอันดับหนึ่งที่ทำให้ตาบอด โดยผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีภาวะเลนส์ตาขุ่น มีอาการหลัก คือ ตามัว มองเห็นภาพไม่ชัด สายตาเลือนราง ซึ่งลักษณะการมองเห็นภาพไม่ชัดนั้นมีหลายแบบ แต่ส่วนมากแล้วอาการต่างๆ จะค่อยเป็นค่อยไป ใช้เวลาเป็นเดือนหรืออาจเป็นปี เมื่อมีอาการมากขึ้นจะส่งผลทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้ตามปกติ

แพทย์หญิง พรรักษ์ ศรีพล แพทย์เฉพาะทางจักษุ ด้านการผ่าตัดต้อกระจก ต้อหิน และจอประสาทตา โรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ แนะวิธีสังเกตอาการ และสัญญาณเตือนของโรคต้อกระจก รวมไปถึงแนวทางการรักษา โดย​สาเหตุของการเกิดต้อกระจก มาจากอายุที่มากขึ้น โดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป ยิ่งมีความเสี่ยงที่จะเป็นต้อกระจกได้ง่าย รวมไปถึงผู้ที่ใช้ยาสเตียรอยด์ด้วย โดยกลุ่มที่มีโอกาสได้รับยากลุ่มนี้ ได้แก่ ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ โรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือโรคเอสแอลอี (SLE) นอกจากนี้ผู้ที่รับประทานยาต้ม ยาหม้อ ยาสมุนไพร ซึ่งอาจมีส่วนผสมของสารสเตียรอยด์ การได้รับอุบัติเหตุทางตา และการได้รับแสงอัลตราไวโอเลต (UV) ล้วนเป็นสาเหตุของการเกิดต้อกระจกทั้งสิ้น

ต้อกระจก

4 สัญญาณเตือนของโรคต้อกระจก

  1. มองเห็นภาพไม่ชัด
  2. มองเห็นภาพซ้อน
  3. มองเห็นภาพมัวในที่ที่มีแสงจ้า
  4. สายตาเปลี่ยนบ่อย ไปวัดแว่นทีไรไม่ชัดสักที

เมื่อมีอาการดังกล่าวข้างต้น อย่านิ่งนอนใจควรรีบพบแพทย์ทันที แต่แม้จะไม่มีสัญญาณเตือน เราก็ควรที่จะตรวจสุขภาพตาอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อค้นหาภาวะผิดปกติของดวงตา

ภาวะแทรกซ้อน อันตรายที่ต้องเฝ้าระวัง

ในผู้ป่วยที่เป็นต้อกระจกมานานแล้ว อาจเกิดภาวะแทรกซ้อน นั่นคือ ภาวะต้อหินจากต้อกระจกที่บวมเป่ง (Phacomorphic Glaucoma) เกิดจากเลนส์ตาสุกเต็มที่แล้วบวม จนปิดทางระบายน้ำในลูกตา ทำให้น้ำในลูกตาระบายไม่ได้ ส่วผลให้ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตาเฉียบพลัน ตาแดง เมื่อส่องไฟจะเห็นเลยว่า ตาดำจะขาวผิดปกติ หากปวดในกรณีนี้ไม่มียาที่สามารถระงับอาการปวดได้และถือว่าอันตรายมาก

ผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตา วิธีรักษาที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

โรคต้อกระจก มีวิธีการรักษาเพียงวิธีเดียว นั่นคือ การผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตา ซึ่งถือว่าเป็นวิธีการรักษามาตรฐานในปัจจุบันทั่วโลก และเป็นวิธีที่นิยมมากที่สุด คือ การทำเฟโกอีมัลซิฟิเคชั่น (Phacoemulcification) ด้วยการใช้เครื่องเสียงความถี่สูงเข้าไปสลายเลนส์ตาเก่าให้มีขนาดเล็กแล้วใส่เลนส์ตาใหม่เข้าไป ทำให้มีแผลผ่าตัดขนาดเล็กมากเพียงแค่ 3 มิลลิเมตร ส่วนใหญ่จึงไม่ต้องมีการเย็บปิดแผล นับเป็นวิธีที่ค่อนข้างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย โดยใช้เวลาเฉลี่ยเพียง 10-30 นาทีเท่านั้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของแพทย์ผู้ทำการผ่าตัดและความยากของเคสด้วย

​ปัจจุบัน การรักษาโรคต้อกระจกทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย ซึ่งคนไข้ที่เข้ามารับการผ่าตัดโรคตาต้อกระจก ไม่เพียงแต่จะได้การรักษาที่มีประสิทธิภาพ สามารถกลับมามองเห็นได้ชัดขึ้นแล้ว ยังได้มีส่วนร่วมในการทำบุญอย่างยิ่งใหญ่ ในโครงการปันโลกสดใส ภายใต้โครงการแพทย์ผู้ให้ ด้วยการเปิดโอกาสในการมองเห็นให้กับผู้ที่ขาดโอกาสเข้าถึงการรักษาดวงตาอีก 1 คน โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดใด เปรียบเสมือนการผ่าตัด 1 ได้เห็น 2

ต้อกระจก

ชีวิตใหม่หลังผ่าตัด ต้อกระจก

​หลังจากได้รับการผ่าตัดต้อกระจกแล้ว ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะรู้สึกเหมือนได้ชีวิตใหม่ เนื่องจากสามารถมองเห็นได้ชัดมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งการผ่าตัดต้อกระจกไม่เพียงแต่ทำให้กลับมามองโลกสดใส แต่ยังเป็นการแก้ไขภาวะสายตาสั้น ยาว เอียง หรือสายตามองใกล้ที่ผิดปกติได้ รวมทั้งยังช่วยลดความดันตาในผู้ป่วยต้อหินอีกด้วย

ผลเสียที่จะเกิดขึ้นหากไม่รับการผ่าตัดต้อกระจก

ตามัวลงเรื่อยๆ ทำให้คุณภาพชีวิตแย่ลง ไม่สามารถรักษาโรคในจอประสาทตาได้ เช่น ภาวะจอประสาทตาหลุดลอก มีพังผืดที่จอประสาทตา เลือดออกในตาหรือเกิดภาวะเบาหวานขึ้นตา

ผลแทรกซ้อนที่อาจเกิดระหว่างและหลังการผ่าตัดต้อกระจก

โอกาสเกิดติดเชื้อในลูกตาได้ น้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ จนทำให้ตามัวลง ดังนั้นผู้ป่วยที่ผ่าตัดตา มีความจำเป็นต้องดูแลตาให้สะอาดมากๆ และหลีกเลี่ยงสภาพแวดล้อมที่มีฝุ่นและสกปรก

โอกาสเกิดเลนส์ร่วงเข้าไปในน้ำวุ้นตาได้ น้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ อาจเกิดจากตัวยึดเลนส์ไม่แข็งแรง เลนส์ต้อกระจกแข็งเกินไป หรือบางกรณีมีการเคลื่อนหน้าของผู้ป่วยขณะผ่าตัด (หากเกิดกรณีดังกล่าว มีความจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดครั้งที่2)

หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับโรคต้อกระจก หรือเรื่องสุขภาพอื่นๆ สามารถขอคำปรึกษาจาก ทีมแพทย์โรงพยาบาลในเครือบริษัท พริ้นซิเพิลเฮลท์แคร์ ได้ทั้ง 9 แห่ง ใน 8 จังหวัด ได้แก่ โรงพยาบาล พริ้นซ์ สุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ โรงพยาบาลพริ้นซ์ ปากน้ำโพ 1 และโรงพยาบาล พริ้นซ์ ปากน้ำโพ 2 จังหวัดนครสวรรค์ โรงพยาบาลพริ้นซ์ อุทัยธานี จังหวัดอุทัยธานี โรงพยาบาลพิษณุเวช จังหวัดพิษณุโลก โรงพยาบาลพิษณุเวช อุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ โรงพยาบาลพิษณุเวช พิจิตร จังหวัดพิจิตร โรงพยาบาล ศิริเวชลำพูน จังหวัดลำพูน และโรงพยาบาลวิรัชศิลป์ จังหวัดชุมพร และสามารถติดตามสาระดีดีเกี่ยวกับการแพทย์ได้ที่เฟซบุ๊ก Principal Healthcare Company