กรมการขนส่งทางบก แจ้งข้อกล่าวหาโชเฟอร์รถเมล์สาย 129 ตบผู้โดยสาร พร้อมปรับ 5,000 บาท พักใบอนุญาตขับขี่ 3 เดือน ส่งเข้าอบรม 3 วัน
นายวีระพงษ์ สุขใจ อายุ 32 ปี โชเฟอร์รถโดยสารประจำทางสาย 129 ทางด่วน (บางเขน-สำโรง) ที่ได้รับการร้องเรียนผ่าน เพจชุมชนคนรักรถเมล์ถึงการกระทำที่ไม่เหมาะสม หลังผู้โดยสารเข้าไปตักเตือนการใช้โทรศัพท์ขณะขับรถโดยสาร และมีการทำร้ายร่างกัน จนผู้โดยสารได้รับบาดเจ็บ เดินทางมาพร้อมกับ นายณัฐพงศ์ อนันต์ไพฑูรย์ ผู้ช่วยเขตการเดินรถที่1 ต้นสังกัด และนายนายสมชัย ราชแก้ว หัวหน้าฝ่ายตรวจการณ์ กรมการขนส่งทางบก พร้อมนำภาพจากกล้องวงจรปิด บนรถประจำทางสาย 129 ซึ่งบันทึกภาพระหว่างเกิดเหตุมีปากเสียงกับผู้โดยสารจนถึงการเข้าทำร้ายร่างกายกัน จนมีผู้โดยสารเข้ามาห้ามปราม ซึ่งสามารถบันทึกภาพไว้ได้อย่างชัดเจน
โดยนายวีระพงษ์ ยกมือกราบขอโทษผู้โดยสารและประชาชน หลังทำให้ขสมก. เสื่อมเสีย ยอมรับเกิดอารมณ์ชั่ววูบ พร้อมน้อมรับผลจากการกระทำ โดยอ้างว่าวันเกิดเหตุฝนตกและรถติด จึงต้องการจะเปิดเพลงฟังเพื่อเป็นการคลายเครียดเท่านั้น
ด้านนายณัฐพงษ์ อนันต์ไพฑูรย์ ผู้ช่วยเขตการเดินรถที่ 1 ระบุการกระทำของนายวีระพงษ์ ถือเป็นความผิดที่ชัดเจน โดยได้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนความผิด โดยโทษสูงสุดมีตั้งแต่ ตักเตือน ภาคทัณฑ์ ตัดเงินเดือน ให้ออกและไล่ออก
ขณะที่กรมการขนส่งทางบกได้ตั้งข้อกล่าวหา ผู้ขับรถโดยสารใช้โทรศัพท์ขณะปฎิบัติหน้าที่มีโทษปรับสูงสุดไม่เกิน 5,000 บาท โดยกรมการขนส่งทางบกได้ปรับในอัตราสูงสุดคือ 5,000 บาท และข้อกล่าวหาเป็นการกระทำอันให้ก่อเกิดอันตรายต่อผู้โดยสาร พักใบอนุญาตเป็นเวลา 2 เดือน และต้องเข้าไปอบรมที่กรมการขนส่งทางบกเป็นเวลา 3 ชั่วโมง โดยได้รับตัวโชเฟอร์รายนี้ไปทันที
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้มีผู้อยู่ในเหตุการณ์ ชี้แจงในเพจเฟสบุ๊คว่า ฝ่ายหญิงต่อว่าเรื่องที่คนขับใช้มือถือระหว่างรถติด บอกเป็นอันตรายต่อผู้โดยสารคนอื่น อันนี้เห็นด้วย แต่ฝ่ายหญิงเริ่มใช้ถ้อยคำหยาบคายและทำลายข้าวของบริเวณหน้ารถ จนคนขับต้องหยุดรถหลายรอบเพื่อเคลียร์ (อันนี้พิมพ์เอง ในคลิปคนขับเข้าไปขอสแกนหน้า ผู้หญิงเลยลุกมา บอกจะถ่ายบ้างและเริ่มกรี๊ดและทุบคนขับก่อน ) จนกระทั่งเหตุการณ์บานปลาย
ส่วนตัวการที่ฝ่ายหญิงเข้าไปทำร้ายคนขับแบบนั้นมันอันตรายต่อผู้โดยสารคนอื่นมากกว่า เรื่องที่ฝ่ายหญิงต่อว่าคนขับเสียอีก เนื่องจากขณะเกิดเหตุรถติดมานานกว่า 4 ชั่วโมง ไม่ได้ขับหวาดเสียวอย่างที่ฝ่ายหญิงบอก ส่วนกรณีที่อ้างว่าคนขับเอาโทรศัพท์ไปโยนทิ้ง ผู้อยู่ในเหตุการณ์บอกว่าโทรศัพท์อยู่กับฝ่ายหญิงแต่อาจหลุดมือช่วงชุลมุน และทำให้ฝ่ายหญิงเข้าใจผิด ซึ่งขณะนี้มีการติดต่อให้ผู้อยู่ในเหตุการณ์รายนี้ไปให้ปากคำแล้ว นอกจากนี้ยังผู้ใช้เฟสบุ๊ครายหนึ่งบอกว่า ลูกชายขึ้นรถคันเกิดเหตุและได้เข้าไปช่วยห้าม จนได้รับบาดเจ็บไปด้วย พร้อมกับระบุว่าฝ่ายหญิงเข้าไปจิกผมคนขับก่อน และเสี่ยงกับอุบัติเหตุมากกว่า