svasdssvasds

คนใช้รถใหม่ ปรับตัวไม่ทัน “หน้าจอสัมผัส” ใช้เวลามากกว่ารถรุ่นเก่าถึง 4 เท่า

คนใช้รถใหม่ ปรับตัวไม่ทัน “หน้าจอสัมผัส” ใช้เวลามากกว่ารถรุ่นเก่าถึง 4 เท่า

รถยนต์ได้พัฒนามากขึ้นทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นการสั่งการผ่านเสียง ระบบอำนวยความสะดวกต่างๆที่ตั้งค่ารถยนต์ โหมดต่างๆาสามารถทำได้ผ่านจอสัมผัส แต่ยิ่งล้ำสมัยแค่ไหน ผู้คนก็จะใช้เวลาในการเลือกมากเท่านั้น หรือว่าจริงแล้วผู้คนกำลังปรับพฤติกรรมให้คุ้นเคยกับเทคโนโลยีใหม่

Vibilagare ได้ทำการทดสอบโดยใช้รถยนต์มากกว่า 11 รุ่นโดยมีทั้งรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุด รวมถึงรถยนต์รุ่นเก่ามาทดสอบด้วย และพบว่าการใช้จอสัมผัสหรือจออัจฉริยะของรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ทำให้เสียเวลาและอันตรายในการขับขี่มากกว่ารถยนต์รุ่นเก่าที่ผลิตมากว่า 17 ปีเสียอีก

การทดสอบครั้งนี้ได้กำหนดความเร็วให้รถยนต์ทุกคันขับที่ความเร็ว 110 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และทำการเปลี่ยนคลื่นวิทยุ , ตั้งค่าเช่น ปรับแอร์ และวัดระยะเวลาที่ใช้

ซึ่งรถยนต์รุ่นที่ใช้เวลาน้อยที่สุด คือเวลา 10 วินาที กลับเป็น Volvo V70 ที่ผลิตในปี 2005 โดยเทคโนโลยีในยุคนั้นยังไม่มีหน้าจอดิจิทัลหรือสัมผัสใดๆ เป็นเพียงปุ่มอนาล็อกทั่วไปที่สามารถกดและหมุนได้ง่ายๆ

CR.Vibilagare

ส่วนรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง MG Marvel R ที่มีเทคโนโลยีสุดล้ำสมัยจอใหญ่ 19.4 นิ้ว ซึ่งใหญ่กว่า iPad เสียอีก ต้องใช้เวลาถึง 44.9 วินาที ซึ่งมากกว่า 4 เท่าของ Volvo V70 รุ่นเก่า

CR.Vibilagare

ตามมาด้วย BMW iX ที่มีจอยาว และมีเทคโนโลยี iDrive ซึ่งต้องเข้าเมนูหลายขั้นตอน ใช้เวลาไป 30.4 วินาที

CR.Vibilagare

และ Tesla ใช้เวลา 23.5 วินาที และรถรุ่นอื่นๆทำให้เราเห็นได้ว่า หน้าจอสัมผัสที่ซับซ้อนน้อยกว่าจะทำให้ผู้ขับขี่ใช้งานได้ง่ายกว่า

การทดสอบครั้งนี้ยังได้วัดมุมที่คนขับต้องก้มหน้าเพื่อควบคุม โดยการถ่ายภาพคนขับคนเดียวกันในรถทุกคัน เราพบว่าคนขับต้องลดระดับสายตาลง 56 องศาเพื่อดูส่วนล่างสุดของหน้าจอ ซึ่งมีความอันตรายอยู่มาก ในสถานการณ์จริงเช่น หากมัวก้มปรับคลื่นวิทยุหรือแอร์อยู่ ก็อาจทำให้รถชนด้านหน้าได้ในขณะรถติด และการทดสอบครั้งนี้ยังทำให้เราเห็นได้ชัดอีกว่า การสั่งและควบคุมด้วยเสียง ไม่ได้ใช้งานง่ายเสมอไป

ในแง่มุมหนึ่งการใช้รถยนต์รุ่นใหม่ๆที่นำเสนอเทคโนโลยีบนรถ สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ภายในที่ดูสะอาดตามากขึ้นจากการใช้จอทัชสกรีนแทนปุ่มแบบเดิมๆ การที่ใช้หน้าจอทัชสกรีนที่มีเมนูจำนวนมากอาจอันตรายก็จริง แต่หากมองอีกแง่มุมหนึ่งคือ การปรับโหมดต่างๆ อาจต้องปรับเปลี่ยนที่พฤติกรรมผู้ใช้ และไม่จำเป็นต้องปรับขณะขับขี่เสมอไป

ข้อเสียของความซับซ้อนที่มากขึ้นจากการใช้จอสัมผัสคือ ไม่สามารถคลำหาได้แบบปุ่มที่เดาความนูนหรือรูปร่างที่ผู้ขับขี่สามารถใช้ความเคยชิน ดังนั้นการใช้จอสัมผัสจึงใช้เวลานานกว่าแน่นอน เนื่องจากไม่สามารถใช้ความเคยชินได้ ต้องใช้สายตาเพื่อมอง และผู้ใช้ส่วนใหญ่ยังพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าปุ่มที่ใช้เป็นหลัก เช่น ปรับแอร์ ยังอยากให้เป็นปุ่มแบบอนาล็อกเหมือนรถรุ่นเก่า

แต่อย่างไรก็ตามรถยนต์รุ่นใหม่ๆที่พัฒนาขึ้นก็ต้องการตอบโจทย์เทคโนโลยีต่างๆ ยิ่งในรถยนต์ไฟฟ้าที่มีระบบมากขึ้น จึงไม่สามารถทำปุ่มออกมาได้มากมาย ระบบต่างๆจึงถูกใส่ลงในจอสัมผัสของรถรุ่นต่างๆ มีหลากหลายความคิดเห็นมากมายเกี่ยวกับการใช้งานจริง ทั้งแง่บวกและแง่ลบ

คนใช้รถใหม่ ปรับตัวไม่ทัน “หน้าจอสัมผัส” ใช้เวลามากกว่ารถรุ่นเก่าถึง 4 เท่า

แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่าเทคโนโลยีของรถยนต์จะต้องก้าวไปข้างหน้าและละทิ้งปุ่มเดิมๆและถูกทดแทนด้วยจอสัมผัสอยู่ดี ในส่วนของแต่ละแบรนด์ก็คงต้องพัฒนาให้การใช้งานง่าย (user-friendly) มากกว่าในปัจจุบัน หรือคำสั่งการผ่านเสียงจะเข้ามาช่วยในส่วนนี้ แต่ยังมีอีกหนึ่งมุมคือข้อจำกัดของผู้พิการทางการพูดที่ไม่สามารถใช้งานคำสั่งเสียงได้

ที่มา : Vibilagare

related