SHORT CUT
Tesla เริ่มทดสอบ Robotaxi ไร้คนขับครั้งแรกในออสติน แต่ยังต้องมีรถอีกคันตามติดเพื่อความปลอดภัย คาดเปิดตัว 22 มิ.ย. นี้ ท่ามกลางคำถามเรื่องความพร้อม
มีผู้พบเห็นรถยนต์ Tesla Model Y ในสภาพไร้คนขับ ซึ่งคาดว่าจะเป็น Robotaxi ของ Tesla วิ่งทดสอบบนถนนในเมืองออสตินเป็นครั้งแรก แต่ที่น่าสนใจคือการทดสอบครั้งนี้มีรถ Tesla อีกคันหนึ่งขับตามประกบอย่างใกล้ชิด
HOLY CRAP ITS A #ROBOTAXI!!@SawyerMerritt @WholeMarsBlog @DirtyTesLa @niccruzpatane pic.twitter.com/slfAsu0AQl
— Terrapin Terpene Col (@TerrapinTerpene) June 10, 2025
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากที่ Elon Musk ซีอีโอของ Tesla ได้ประกาศแผนการว่าจะเปิดให้บริการ Robotaxi ในวันที่ "22 มิถุนายน" ที่จะถึงนี้
เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งอย่าง Waymo ซึ่งเปิดให้บริการในออสตินไปก่อนหน้านี้ พบว่า Waymo ใช้เวลาทดสอบระบบอย่างเข้มข้น โดยมีคนขับสำรองนานถึง "6 เดือน" และทดสอบแบบไร้คนขับอีก "6 เดือน" ก่อนจะเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์
จากวิดีโอที่เผยแพร่ จะเห็นว่ารถคันที่ขับตามหลังรถ Robotaxi นั้น มีแนวโน้มว่าจะมีเจ้าหน้าที่ควบคุมทางไกลประจำอยู่ เพื่อเตรียมพร้อมเข้าควบคุมรถจากระยะไกลหรือสั่งหยุดฉุกเฉินได้ทันที
ซึ่งช่วยแก้ปัญหาเรื่องความหน่วงของสัญญาณได้ การค้นพบนี้สอดคล้องกับการที่ Tesla ประกาศรับสมัครงานตำแหน่งวิศวกรเพื่อพัฒนาระบบ Teleoperation ที่มีความหน่วงต่ำที่สุดเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
หลังวิดีโอดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป อีลอน มัสก์ ได้ออกมาเน้นย้ำว่ารถที่ใช้ทดสอบเป็น Model Y รุ่นมาตรฐานที่ส่งมอบให้ลูกค้าทั่วไป ไม่ได้มีการดัดแปลงฮาร์ดแวร์พิเศษแต่อย่างใด
ประเด็นนี้ทำให้เกิดคำถามว่า แล้วเมื่อไรลูกค้าทั่วไปจะได้ใช้ระบบขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบตามที่เคยสัญญาไว้ว่ารถ Tesla ทุกคันที่ผลิตตั้งแต่ปี 2016 จะสามารถใช้ได้
Elon Musk ไม่ได้ยืนยันโดยตรง แต่เปิดเผยว่าซอฟต์แวร์ที่ใช้ในรถ Robotaxi มีพารามิเตอร์มากกว่า FSD v13 ที่ลูกค้าใช้ในปัจจุบันถึงประมาณ "4 เท่า" และคาดว่าจะถูกผนวกรวมเข้ากับซอฟต์แวร์สำหรับลูกค้าทั่วไปได้ภายในปีนี้
อย่างไรก็ตาม การเปิดตัวบริการ Robotaxi ในลักษณะนี้ถือเป็นการ "ย้ายเสาประตู" หรือเปลี่ยนเป้าหมายครั้งสำคัญของ Tesla จากที่เคยให้คำมั่นว่าจะพัฒนาระบบขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบให้ใช้ได้กับรถทุกคันในทุกที่
แต่บริการใหม่นี้กลับจำกัดเฉพาะพื้นที่ที่กำหนด และต้องพึ่งพาระบบควบคุมทางไกล ซึ่งเป็นแนวทางที่ไม่สามารถขยายผลไปสู่รถยนต์ของลูกค้าทั้งหมดได้ในวงกว้าง
นักวิเคราะห์มองว่า แม้แนวทางนี้จะช่วยให้ระบบ FSD พัฒนาต่อไปได้ แต่ก็ยังห่างไกลจากเป้าหมายเดิม โดยคาดการณ์ว่า
แม้ซอฟต์แวร์เวอร์ชันใหม่จะเพิ่มระยะทางเฉลี่ยต่อการเข้าแทรกแซงได้ถึง 10 เท่าจากปัจจุบัน Tesla ก็จะทำสถิติได้เพียงประมาณ 5,000 ไมล์ (ประมาณ 8,000 กิโลเมตร) ซึ่งยังตามหลังคู่แข่งและไม่เพียงพอต่อมาตรฐานความปลอดภัยของรถยนต์อัตโนมัติระดับ 4
ที่มา : Electrek