SHORT CUT
เทคโนโลยี SAOT หรือ เทคโนโลยี "จับล้ำหน้าก่ำอัตโนมัติ" ที่เคยใช้ในฟุตบอลโลก 2022 ตอนนี้ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ จะใช้ในฤดูกาลหน้า 2024-25
หลักการก็คือ เทคโนโลยี SAOT มีขึ้นเพื่อให้คำแนะนำเพิ่มเติมแก่ผู้ตัดสินและผู้ช่วยผู้ตัดสิน เพื่อช่วยให้ชี้ขาดเรื่องการล้ำหน้าได้เร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น
การทำงานของ SAOT แบบอธิบายรวบรัดที่สุด ก็คือ จะมีเซ็นเซอร์อยู่ที่ลูกบอลเพื่อระบุพิกัดตำแหน่ง ทำงานร่วมกับกล้องอีก 12 ตัวในสนาม รวมทั้งจับข้อมูลตำแหน่งผู้เล่นแต่ละคนออกมา 29 จุดของร่างกาย เพื่อดูว่ามีส่วนใดที่ล้ำหน้าหรือไม่ ใช้เวลาตัดสินได้ในไม่กี่วินาที ผ่านห้อง VAR
ชวนทำความเข้าใจ และ เรียนรู้ เทคโนโลยี SAOT หรือ เทคโนโลยี "จับล้ำหน้าก่ำอัตโนมัติ" ที่เคยใช้ในฟุตบอลโลก 2022 ที่กาตาร์มาแล้ว และ ณ ตอนนี้ พรีเมียร์ลีก ประกาศใช้การเช็กล้ำหน้ากึ่งอัตโนมัติ SAOT ฤดูกาลหน้า 2024-25
สโมสรในพรีเมียร์ลีกอังกฤษ มีมติเอกฉันท์ในการนำเทคโนโลยีเช็กล้ำหน้ากึ่งอัตโนมัติมาใช้ในฤดูกาลหน้า โดยเจ้าเทคโนโลยีนี้ เรียกย่อๆว่า SAOT ซึ่งย่อมาจาก Semi-Automated Offside Technology นี่ถือเป็นอีกหนึ่ง ความก้าวหน้าของเกมกีฬาฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ที่ใช้เทคโนโลยี มาช่วยให้เกมมีความแฟร์ มีความยุติธรรมมายิ่งขึ้น ต่อไปจะได้ ไม่ต้องมาเถียง หรือดราม่ากันอีกว่า "ล้ำหน้า" หรือเปล่า
เราลองมาย้อนทำความรู้จัก เทคโนโลยี SAOT กันอีกสักครั้ง มาดูกันว่ามันทำงานด้วยระบบอย่างไร
SAOT ที่พรีเมียร์ลีก กำลังจะนำมาใช้นั้น คือ เทคโนโลยีที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้คำแนะนำเพิ่มเติมแก่ผู้ตัดสินและผู้กำกับเส้น เพื่อช่วยให้ได้ตัดสินในเรื่องของการล้ำหน้าได้เร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น
หากจะอธิบายให้ชัดมากขึ้นคือ SAOT ไม่ได้เป็นระบบการตัดสินแบบอัตโนมัติ แต่เป็นระบบการช่วยตัดสินแบบกึ่งอัตโนมัติ
ระบบ "จับล้ำหน้ากึ่งอัตโนมัติ" (Semi-automated offside technology-SAOT) เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) นำมาใช้อย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกในศึก ฟุตบอลโลก 2022 เพื่อใช้ตรวจจับการล้ำหน้าของผู้เล่นขณะแข่งขันให้มีความแม่นยำมากขึ้น
โดยหลักการก็คือ เทคโนโลยี SAOT มีขึ้นเพื่อให้คำแนะนำเพิ่มเติมแก่ผู้ตัดสินและผู้ช่วยผู้ตัดสิน เพื่อช่วยให้ชี้ขาดเรื่องการล้ำหน้าได้เร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น หรือจะอธิบายได้อีกแบบก็คือ SAOT ไม่ได้เป็นระบบการตัดสินอัตโนมัติ แต่เป็นระบบที่ "ช่วยผู้ตัดสิน" ให้ทำงานได้เร็วขึ้นเท่านั้น
การทำงานของระบบจับล้ำหน้ากึ่งอัตโนมัติ จะมีเซ็นเซอร์อยู่ที่ลูกบอลเพื่อระบุพิกัดตำแหน่ง ทำงานร่วมกับกล้องอีก 12 ตัวในสนาม รวมทั้งจับข้อมูลตำแหน่งผู้เล่นแต่ละคนออกมา 29 จุดของร่างกาย เพื่อดูว่ามีส่วนใดที่ล้ำหน้าหรือไม่ ซึ่งข้อมูลดังหล่าวถูกเก็บที่ระดับ 50 ครั้งต่อวินาที และคำนวณการล้ำหน้าอัตโนมัติ เพื่อแจ้งเตือนไปยังผู้ตัดสินในสนาม
นอกเหนือจากกล้อง 12 ตัวแล้ว "ลูกฟุตบอล" ก็จะต้องมีการใส่เซ็นเซอร์แบบ "Inertial Measurement Unite" (IMU) เข้าไปด้านในแกนกลางของลูกฟุตบอล โดยเซ็นเซอร์ IMU จะตรวจจับเหตุการณ์การล้ำหน้าที่ก้ำกึ่งโดยจะส่งข้อมูลกลับไปยังห้องปฏิบัติการ 500 ครั้งต่อวินาที ทำให้สามารถตรวจจับตำแหน่งการเตะลูกฟุตบอล (การเปิดบอลก่อนล้ำหน้า) ได้อย่างแม่นยำราวกับจับวาง
ข้อมูลทั้งภาพจากกล้อง และข้อมูลจากลูกฟุตบอล จะถูกนำไปสู่การประมวลผลโดยระบบปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ซึ่งจะส่งข้อมูลให้แก่ทีมงานที่อยู่ในห้อง VAR จากนั้นทีมงานผู้ช่วยตัดสินจะทำการตรวจสอบด้วยตัวเองอีกครั้งด้วยการเลือกจุดที่ลูกบอลถูกปล่อยออกจากเท้า แล้วระบบจะสร้างเส้นการล้ำหน้าโดยอัตโนมัติ ทั้งหมดนี้จะใช้เวลาแค่ 2-3 วินาทีเท่านั้น
เมื่อผู้ตัดสิน VAR ยืนยันการตัดสินแล้ว ก็จะมีการแจ้งไปยังผู้ตัดสินในสนาม ส่วนข้อมูลที่ใช้ตัดสินก็จะถูกแปลงเป็นภาพ 3D เพื่อแสดงในการถ่ายทอดสดให้ผู้ชมรับรู้ด้วย
ทั้งนี้ จุดประสงค์ของการมี SAOT ก็เพื่อช่วยเหลือผู้ตัดสินและผู้ช่วยผู้ตัดสินทั้งในสนามและในห้อง VAR ที่จะเป็นผู้ตัดสินขั้นสุดท้ายว่าตกลงแล้วเกิดการล้ำหน้าขึ้นหรือไม่
โดย SAOT เป็นระบบที่ FIFA ได้พัฒนาร่วมกับ ‘Adidas’ ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนการแข่งขันในเรื่องของลูกฟุตบอลที่ใช้ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 ที่ผ่านมา และพันธมิตรอีกหลายเจ้าที่ช่วยร่วมลงขันด้วย โดยเฉพาะ Working Group for Innovation Excellence and Technology Provider จนสามารถอัปเกรดยกระดับ VAR ไปอีกหนึ่งสเต็ป
โดย เทคโนโลยี SAOT ที่ยังช่วยลดเวลาได้ประมาณ 30 วินาทีต่อการตัดสินหนึ่งครั้ง ซึ่้งการนำเทคโนโลยีนี้มาใช้เนื่องจากพรีเมียร์ลีก เป็นลีกที่ได้รับความนิยมที่สุดในโลก แต่ต้องเผชิญถูกวิจารณ์อย่างหนักเรื่องการตีเส้นเช็กล้ำหน้า โดยทีม VAR ที่ไม่แม่นยำอยู่บ่อยครั้ง ,เกิดข้อกังขา รวมถึงใช้เวลานาน ดังนั้น การมี SAOT ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดีในการแก้ปัญหา
อย่างไรก็ตามคาดว่าการนำเทคโนโลยีเช็กหน้ากึ่งอัตโนมัติมา จะเริ่มใช้จริงประมาณเดือนกันยายนหรือตุลาคม และอาจไม่ทันในเกมแรกที่จะเปิดสนามในเดือนสิงหาคม 2567
ข่าวที่เกี่ยวข้อง