SHORT CUT
ในยุคที่ชีวิตประจำวันผูกติดกับหน้าจอและโลกออนไลน์อย่างแยกไม่ออก การเปิดวิดีโอ YouTube ทิ้งไว้เป็นเพื่อน กลายเป็นพฤติกรรมที่หลายคนเลือกทำเพื่อ "ฮีลใจ" ในเวลาพัก
การเปิด YouTube ทิ้งไว้เป็นเพียงกระแสนิยมชั่วครั้งชั่วคราว เป็นเทรนด์ใหม่ที่กำลังก่อตัวขึ้นในหมู่คนไทย หรือแท้จริงแล้วคือส่วนหนึ่งของการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตให้เข้ากับยุคดิจิทัลอย่างลึกซึ้ง
การพูดคุยในเว็บบอร์ดออนไลน์ของไทยอย่าง Pantip ยังชี้ให้เห็นว่าพฤติกรรมนี้เป็นที่ถกเถียงและปฏิบัติกันอย่างแพร่หลาย โดยผู้ใช้งานบางรายพบว่า "การมีเสียงคลอเบาๆ ช่วยให้นอนหลับได้ดีกว่าความเงียบ"
การ "เปิดวิดีโอทิ้งไว้" สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานในวิธีที่ผู้คนมีปฏิสัมพันธ์กับแพลตฟอร์มอย่าง YouTube จากเดิมที่เน้นการรับชมอย่างตั้งใจและมีสมาธิ ไปสู่การบริโภคเนื้อหาในรูปแบบของเสียงประกอบที่อยู่เบื้องหลังอย่างต่อเนื่อง
1.Lofi Girl ช่องยอดฮิต ไลฟ์สดเพลง Lo-fi Hip Hop ตลอด 24 ชั่วโมง และมีเพลย์ลิสต์ยาวสำหรับผ่อนคลาย/อ่านหนังสือ
2.chill chill journal มิกซ์เพลง Lo-fi, เพลงบรรเลงจังหวะสงบสำหรับเรียน/ทำงาน/พักผ่อน ผสานกับภาพชิลล์ๆ
3.WRGplaylist เพลยลิสต์เพลงแจ๊ส ฟังสบายๆ มีทั้ง Sleep Jazz, Cozy Jazz, Book & Study Jazz ให้เลือกฟัง
4.The Relaxed Guy นอนหลับ พักผ่อน และอ่านหนังสือได้ดีขึ้นด้วยวิดีโอเสียงฝน ฟ้าร้อง ทะเล และธรรมชาติ ที่ถ่ายธรรมจากสถานที่จริง
5.Coromo Sara. ASMR วิดีโอเสียงสำหรับใครที่นอนหลับยาก ไม่มีการพูดคุยใดๆ มีแค่เสียง 2-3 ชั่วโมงเต็ม
ยิ่งไปกว่านั้น เทรนด์นี้ยังสะท้อนถึงความต้องการที่กว้างขึ้นในการปรับแต่งและควบคุมสภาพแวดล้อมทางประสาทสัมผัสของตนเอง ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญของวัฒนธรรมดิจิทัลสมัยใหม่ ในโลกที่เต็มไปด้วยข้อมูลและสิ่งเร้า
ผู้คนต่างแสวงหาวิธีจัดการกับสิ่งรอบตัว เสียงประกอบฉากหลัง ไม่ว่าจะเป็นเพลง Lo-fi เสียงธรรมชาติ หรือเพลงคลาสสิก ช่วยให้สามารถปรับแต่งอารมณ์และสมาธิได้ดีกว่า "ความเงียบ"
การ "เปิดเสียง" บางอย่างคลอไว้เบื้องหลังขณะทำกิจกรรมต่างๆ ไม่ได้เป็นเพียงความชอบส่วนบุคคล แต่มีเหตุผลทางจิตวิทยารองรับอยู่หลายประการ
"เสียงที่เหมาะสมสามารถส่งผลเชิงบวกต่อสภาวะจิตใจ และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้"
"ดนตรีและเสียง" บางประเภทมีคุณสมบัติในการช่วยบรรเทาความเครียด ลดความวิตกกังวล และส่งเสริมทัศนคติเชิงบวก
งานวิจัยบางชิ้นชี้ว่าดนตรีสามารถลดระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล (ฮอร์โมนความเครียด) ได้อย่างมีนัยสำคัญ
"เสียง" ที่เหมาะสมสามารถกระตุ้นแรงจูงใจและช่วยให้มีสมาธิจดจ่อกับงานได้นานขึ้น โดยเฉพาะงานที่ซ้ำซากจำเจหรืองานที่ต้องใช้เวลานาน
"ดนตรี" ช่วยให้การทำงานที่น่าเบื่อมีความเพลิดเพลินมากขึ้น และบางครั้งก็ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้ด้วย
ดนตรีบางประเภท โดยเฉพาะ "เพลงคลาสสิก" มีความเชื่อมโยงกับการพัฒนาความจำ การดูดซับข้อมูล และการประมวลผลทางปัญญาที่ดีขึ้น มีการศึกษาพบว่าการฟังเพลงคลาสสิกช่วยให้ผู้สูงอายุทำแบบทดสอบด้านความจำได้ดีขึ้น
โดยทั่วไปแล้ว เพลงที่ไม่มีเนื้อร้อง หรือมีเนื้อร้องในภาษาที่ไม่คุ้นเคย จะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า เนื่องจากสมองไม่ต้องแบ่งทรัพยากรไปประมวลผลความหมายของภาษา ทำให้ไม่รบกวนสมาธิ
เพลงที่มีจังหวะช้า สม่ำเสมอ มักจะเอื้อต่อการสร้างสมาธิและความผ่อนคลายได้ดีกว่าเพลงที่มีจังหวะเร็ว เปลี่ยนแปลงกะทันหัน หรือมีความซับซ้อนสูง งานวิจัยชี้ว่าจังหวะประมาณ 60-70 ครั้งต่อนาที (bpm) เหมาะสมกับการทำงาน
White Noise : ได้รับการกล่าวถึงว่าช่วยในการนอนหลับและเพิ่มสมาธิ แม้กระทั่งในเด็กที่มีภาวะสมาธิสั้น (ADHD) และเสียงบางประเภทเช่นเสียงไดร์เป่าผม (White Noise) ก็สามารถช่วยให้ทารกสงบลงได้
เสียงธรรมชาติ : เสียงฝนตก คลื่นทะเล หรือเสียงในป่า เป็นเสียงที่หลายคนรู้สึกผ่อนคลายโดยธรรมชาติ และสามารถช่วยลดความเครียด รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมองได้
พฤติกรรมการเปิด YouTube เป็นเสียงประกอบฉากหลังไม่ได้เกิดขึ้นอย่างไร้ที่มา แต่เป็นผลพวงจากการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและเทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของสังคมไทย
WFH และการเรียนออนไลน์ : การทำงานทางไกลและการเรียนออนไลน์ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้คนใช้เวลาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ควบคุมได้น้อยลง จึงต้องมองหาวิธีสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการทำงานหรือการเรียนมากขึ้น
การเปิด YouTube ทิ้งไว้เป็นเสียงประกอบฉากหลังได้ก้าวข้ามจากการเป็นเพียงนิสัยส่วนตัว ไปสู่การเป็นเครื่องมือที่ผู้คนจำนวนมากนำมาปรับใช้เพื่อ "จัดการอารมณ์ เพิ่มสมาธิ ปรับแต่งสภาพแวดล้อมส่วนตัว" และแม้กระทั่งบรรเทาความเหงา
YouTube ได้ขยายตัวจากการเป็นเพียงแพลตฟอร์มรับชมวิดีโอ ไปสู่การเป็นแหล่งสำคัญของประสบการณ์เสียงแบบยาวนานและเป็นบรรยากาศ ซึ่งมีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อการสร้างภูมิทัศน์เสียงส่วนบุคคล
ที่มา : Pantip, healthline, UMGC