SHORT CUT
OpenAI ประกาศความสำเร็จครั้งใหญ่ ผู้ใช้งาน ChatGPT แตะ 700 ล้านคนต่อสัปดาห์ โตขึ้น 4 เท่าจากปีก่อน ขณะที่ลูกค้าองค์กรแบบชำระเงินทะลุ 5 ล้านรายแล้ว
OpenAI ประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญ โดยเปิดเผยว่าจำนวนผู้ใช้งาน ChatGPT แบบรายสัปดาห์ได้พุ่งสูงถึง "700 ล้านคน" ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 500 ล้านคนเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และถือเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดกว่า '4 เท่า' เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
ตัวเลขดังกล่าวครอบคลุมผู้ใช้งานผลิตภัณฑ์ AI ของ ChatGPT ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเวอร์ชันฟรี, Plus Pro, Enterprise, Team และ Edu
นอกจากนี้ ChatGPT ยังระบุว่าจำนวนข้อความที่ผู้ใช้ส่งต่อวันได้ทะลุ '3 พันล้านข้อความ' แล้ว สะท้อนให้เห็นถึงอัตราการเติบโตที่เร่งตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับการเติบโต '2.5 เท่า' ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
ในด้านการใช้งานเชิงธุรกิจ OpenAI เผยว่าปัจจุบันมีผู้ใช้งานแบบชำระเงินในภาคธุรกิจและองค์กร (Paying Business Users) ถึง 5 ล้านราย เพิ่มขึ้นจาก 3 ล้านรายเมื่อเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นสัญญาณชัดเจนว่าองค์กรและสถาบันการศึกษาต่างหันมาใช้เครื่องมือ AI ในการทำงานมากขึ้น
ความสำเร็จด้านจำนวนผู้ใช้งานนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ OpenAI เพิ่งระดมทุนรอบล่าสุดได้ถึง 8.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากกลุ่มนักลงทุนชั้นนำ
เช่น Dragoneer Investment Group, Andreessen Horowitz และ Sequoia Capital โดยแหล่งข่าวระบุว่าการลงทุนนี้เป็นส่วนหนึ่งของรอบการระดมทุนมูลค่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์ที่นำโดย SoftBank
ปัจจุบัน OpenAI มีรายได้ประจำต่อปี (Annual Recurring Revenue - ARR) อยู่ที่ 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจาก 1 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนมิถุนายน และคาดว่าจะทะลุ 2 หมื่นล้านดอลลาร์ภายในสิ้นปีนี้
อย่างไรก็ตาม การแข่งขันในตลาด AI ยังคงดุเดือด โดยคู่แข่งอย่าง Google มี AI Overviews ที่มีผู้ใช้งานรายเดือนประมาณ 2 พันล้านคน, แอปพลิเคชัน Gemini ที่มีผู้ใช้งานรายเดือนกว่า 450 ล้านคน ขณะที่ Anthropic คู่แข่งอีกราย ก็กำลังเจรจาระดมทุนสูงถึง 5 พันล้านดอลลาร์เช่นกัน
การเติบโตอย่างรวดเร็วและการระดมทุนมหาศาลนี้สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการเงินทุนจำนวนมหาศาลเพื่อรองรับการพัฒนาและการขยายโครงสร้างพื้นฐาน AI ทั่วโลก
เช่น โครงการร่วมทุน Stargate ที่ OpenAI ร่วมมือกับ SoftBank, Oracle และ MGX ซึ่งมีแผนลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI สูงถึง 5 แสนล้านดอลลาร์ในอีก 4 ปีข้างหน้า
ที่มา : CNBC, venturebeat