YouTube แพลตฟอร์มวิดีโอยอดนิยม ขยายฟีเจอร์ Multi-Language Audio ใส่เสียงพากย์ภาษาอื่นอัตโนมัติให้ครีเอเตอร์ทั่วโลก
จะไม่มีกำแพงภาษาอีกต่อไป! YouTube ขยายฟีเจอร์ ใส่เสียงพากย์ภาษาอื่นอัตโนมัติ (Multi-Language Audio) ให้แก่ครีเอเตอร์หลายล้านคนทั่วโลกในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ความเคลื่อนไหวนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการทลายกำแพงภาษา และเปิดโอกาสให้คอนเทนต์สามารถเข้าถึงผู้ชมในวงกว้างได้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
จากโปรเจ็คต์นำร่องสู่เครื่องมือสำคัญระดับโลก
ฟีเจอร์ ใส่เสียงพากย์ภาษาอื่นอัตโนมัติ เริ่มต้นจากการเป็นโครงการทดลองแบบจำกัดกลุ่มในปี 2023 ซึ่งในระยะแรก ครีเอเตอร์จะต้องจัดหาและอัปโหลดไฟล์เสียงพากย์ด้วยตนเอง แต่ต่อมา YouTube ได้พัฒนาระบบเข้ามาช่วยลดขั้นตอนการทำงาน ทำให้กระบวนการง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ผลลัพธ์ที่ได้จากการทดลองได้พิสูจน์ถึงศักยภาพของฟีเจอร์นี้อย่างชัดเจน โดยข้อมูลจาก YouTube ระบุว่า โดยเฉลี่ยแล้ว ครีเอเตอร์ที่ใช้เสียงพากย์หลายภาษาพบว่า กว่า 25% ของเวลาการรับชม (Watch Time) มาจากผู้ชมที่เลือกฟังในภาษาที่ไม่ใช่ภาษาต้นฉบับของวิดีโอ ซึ่งเป็นตัวเลขที่ยืนยันถึงความต้องการรับชมคอนเทนต์ในภาษาท้องถิ่นที่เพิ่มสูงขึ้น
บรรดาครีเอเตอร์ชื่อดังระดับโลกได้นำร่องใช้ฟีเจอร์นี้และเห็นผลลัพธ์ที่น่าทึ่งอย่างชัดเจน:
MrBeast และ Mark Rober: สามารถเข้าถึงผู้ชมกลุ่มใหม่ ๆ ได้นับล้านคน โดย Mark Rober ถือเป็นหนึ่งในผู้ที่ใช้งานฟีเจอร์นี้อย่างเต็มศักยภาพ โดยใส่เสียงพากย์เฉลี่ยกว่า 30 ภาษาในแต่ละวิดีโอ ทำให้แฟน ๆ ตั้งแต่กรุงโซลถึงเซาเปาโลสามารถเพลิดเพลินกับเนื้อหาใหม่ ๆ ได้พร้อมกัน
Jamie Oliver: ช่องของเชฟชื่อดังชาวอังกฤษ มียอดการรับชมเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึง 3 เท่า หลังจากเพิ่มเสียงพากย์ภาษาต่างประเทศเข้าไปในวิดีโอ
Nick DiGiovanni: เชฟและครีเอเตอร์อีกรายที่เข้าร่วมโครงการนำร่อง ยืนยันว่าฟีเจอร์นี้เป็นเครื่องมือสำคัญในการขยายฐานผู้ชมไปทั่วโลก "การใช้เสียงหลายภาษาช่วยให้เราเข้าถึงผู้ชมที่พูดภาษาสเปน ตุรกี เวียดนาม รัสเซีย และอาหรับได้อย่างแท้จริง" เขากล่าว
.
การเปิดตัวฟีเจอร์เสียงหลายภาษาในวงกว้างครั้งนี้ ถือเป็นย่างก้าวที่สำคัญของ YouTube ในการสร้างแพลตฟอร์มที่ไร้พรมแดนอย่างแท้จริง ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยให้ครีเอเตอร์สามารถเติบโตในระดับสากลและสร้างรายได้จากกลุ่มผู้ชมใหม่ ๆ ได้ง่ายขึ้น แต่ยังมอบประสบการณ์การรับชมที่เป็นส่วนตัวและเข้าถึงได้ดียิ่งขึ้นให้แก่ผู้ใช้งานหลายพันล้านคนทั่วโลกอีกด้วย
ที่มา : blog.youtube blog.youtube
ข่าวที่เกี่ยวข้อง