svasdssvasds

Baby Shark Dance ตำนาน YouTube วิวสูงสุด ในโลกนี้จะมีคลิปไหนล้มสถิติได้

Baby Shark Dance ตำนาน YouTube วิวสูงสุด ในโลกนี้จะมีคลิปไหนล้มสถิติได้

ทำความรู้จัก ประวัติ คลิปเพลง Baby Shark Dance เพิ่งจะมีอายุครบรอบ 9 ปี บนแพลตฟอร์มออนไลน์อย่าง YouTube ไปเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2025 ตอนนี้ยอดวิวไปไกลทะลุจักรวาลแล้ว!

ณ เข็มนาฬิกาดิจิทัลเดินอยู่ตอนนี้ เพลงนี้ ครองบังลังก์สถิติ ยอดวิว สูงสุดตลอดกาล เพราะตอนนี้ อัลกอริทึ่มนับยอดวิวคลิปนี้ ยังเดินหน้าเต็มสูบแบบไม่มีพัก ล่าสุด อยู่ที่ ราว 16,067 ล้านวิว ( ข้อมูล ณ วันที่ 11 ก.ค. 2025) 
.
ดังนั้น History of tech จาก SPRiNGtech ขอใช้โอกาสนี้ ฉกฉวยเอาเรื่องราวของคลิปนี้ เพลงนี้ มาเล่าให้ฟังกัน
.
บทเพลง "Baby Shark Dance" ที่เด็กๆ ทั่วโลกรู้จักกันดี ได้เดินทางบนแพลตฟอร์มยูทูบมาครบ 9 ปีเต็มในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา พร้อมครองบัลลังก์วิดีโอที่มียอดผู้ชมสูงสุดตลอดกาลอย่างไม่มีใครเทียบได้ แต่เบื้องหลังท่วงทำนองที่สดใสและภาพลักษณ์ที่เป็นมิตรนี้ คือประวัติศาสตร์อันซับซ้อนและด้านมืดที่คาดไม่ถึง เมื่อเพลงนี้ถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือทรมานนักโทษในเรือนจำ

ข้อมูลล่าสุด ณ เดือนกรกฎาคม 2025 วิดีโอ "Baby Shark Dance" ที่ผลิตโดยบริษัท Pinkfong ของเกาหลีใต้ มียอดเข้าชมสะสมกว่า 1.6 หมื่นล้านครั้ง และยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตอกย้ำสถานะปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมระดับโลกที่ยากจะหาใครมาล้มล้าง

จากเพลงรอบกองไฟสู่ปรากฏการณ์ระดับโลก

เส้นทางของ "Baby Shark" ไม่ได้เริ่มต้นจากสตูดิโอในเกาหลีใต้ แต่มีรากฐานย้อนกลับไปไกลกว่านั้น มันคือเพลงที่เล่าขานต่อกันมารุ่นสู่รุ่นในค่ายฤดูร้อนและกิจกรรมรอบกองไฟในโลกตะวันตก ซึ่งเวอร์ชันดั้งเดิมมีเนื้อหาที่น่ากลัวกว่าปัจจุบัน เกี่ยวกับเรื่องราวของฉลามที่ไล่กินคนในทะเล

ก่อนที่เวอร์ชันของ Pinkfong จะถือกำเนิดขึ้นในปี 2016 เพลงนี้เคยปรากฏในรูปแบบดิจิทัลมาแล้ว โดยเวอร์ชันที่โดดเด่นคือ "Kleiner Hai" (ฉลามน้อย) ของศิลปินชาวเยอรมัน Alemuel ในปี 2007 ซึ่งได้รับความนิยมจนติดชาร์ตเพลงในเยอรมนีและออสเตรีย

Baby Shark Dance ตำนาน YouTube วิวสูงสุด ในโลกนี้จะมีคลิปไหนล้มสถิติได้
 

เบื้องหลังความสำเร็จที่ "ติดหู" 

ความสำเร็จของ "Baby Shark" ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากการออกแบบทางดนตรีที่สอดคล้องกับหลักจิตวิทยาอย่างแยบยล 

ปัจจัยสำคัญประกอบด้วย:
ความเรียบง่ายเชิงโครงสร้าง (Simplicity): ทำนองเพลงใช้โน้ตเพียงไม่กี่ตัวในสเกลที่จำกัด ทำให้สมองของเด็กสามารถประมวลผลและจดจำได้อย่างรวดเร็ว

การใช้เทคนิคการซ้ำ (Repetition): ท่อนฮุค "doo doo doo doo doo doo" ที่ถูกเล่นซ้ำๆ คือหัวใจสำคัญที่สร้างปรากฏการณ์ "Earworm" หรือเพลงติดหู การซ้ำเติมนี้สร้างรูปแบบที่สมองคาดเดาได้ ทำให้เกิดความรู้สึกพึงพอใจและอยากฟังอีก
 

ด้านมืด  Baby Shark ที่กลายเป็นเครื่องมือทรมาน 

อย่างไรก็ตาม บทเพลงที่สร้างรอยยิ้มให้เด็กๆ กลับถูกนำไปใช้ในบริบทที่น่าตกใจ มีรายงานจากรัฐโอคลาโฮมา สหรัฐอเมริกา ในปี 2019 ว่า ผู้คุมเรือนจำ 2 คน ถูกฟ้องร้องในข้อหาทารุณกรรมนักโทษ ด้วยการจับนักโทษใส่กุญแจมือ และบังคับให้ยืนฟังเพลง "Baby Shark" ที่เปิดเสียงดังวนซ้ำเป็นเวลาหลายชั่วโมงติดต่อกัน

แม้จะฟังดูแปลก แต่การใช้ดนตรีเพื่อสร้างความทุกข์ทรมานทางจิตใจ (Psychological Torture) ไม่ใช่เรื่องใหม่ในประวัติศาสตร์ กองทัพนาซีในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 เคยใช้ดนตรีเพื่อทรมานชาวยิวในค่ายกักกัน ตั้งแต่เพลงมาร์ชชาตินิยม ไปจนถึงเพลงคลาสสิกที่ไพเราะอย่าง "Blue Danube" ของ Johann Strauss II

เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่า เพลงใดๆ ก็ตาม หากถูกนำมาใช้อย่างต่อเนื่องและบีบบังคับ ก็สามารถเปลี่ยนจากความบันเทิงกลายเป็นอาวุธทางจิตวิทยาได้

ดังนั้น "Baby Shark Dance" จึงเป็นมากกว่าปรากฏการณ์เพลงเด็กที่ทำลายสถิติ แต่ยังเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า  เป็นวัฒนธรรมที่ดูไร้พิษสงที่สุดก็อาจมีประวัติศาสตร์ที่ซับซ้อนและถูกนำไปใช้ในทางที่คาดไม่ถึงได้เช่นกัน  ส่วนเรื่องยอดวิวนั้น อีกไม่กี่ปี คลิปนี้ คงทะลุไปมากกว่า 2 หมื่นล้านวิว เป็นคลิปแรกของโลก!

ที่มา : theguardian  forbes cbc

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

related