SHORT CUT
GISTDA เสริมฟีเจอร์ใหม่ แพลตฟอร์มภัยพิบัติ Disaster Platform นวัตกรรมและข้อมูลที่เข้าถึงได้ทุกคน ช่วยทุกภาคส่วนรับมือและป้องกันทันเวลา
GISTDA เปิดตัวแพลตฟอร์มภัยพิบัติอัจฉริยะ ขับเคลื่อนด้วย AI และ Big Data
จากภัยธรรมชาติที่ทวีความรุนแรงและซับซ้อนขึ้นทั่วโลก ไทยกำลังก้าวสู่มิติใหม่ของการรับมือเชิงรุก ด้วยการเปิดตัวนวัตกรรมล่าสุดบน “Disaster Platform” หรือแพลตฟอร์มบริหารจัดการภัยพิบัติอัจฉริยะ โดยสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.)
“Disaster Platform” ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือแสดงข้อมูล แต่คือ “โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล” ที่ถูกออกแบบมาเพื่อปฏิวัติระบบการเตือนภัย การตอบสนอง และการฟื้นฟูของประเทศ โดยมีหัวใจสำคัญคือการผสานเทคโนโลยีแห่งอนาคตอย่าง Big Data Analytics, ปัญญาประดิษฐ์ (AI), และระบบภูมิสารสนเทศเชิงโต้ตอบ (Interactive GIS) เพื่อสร้างความได้เปรียบในการตัดสินใจที่ต้องแข่งกับเวลา
ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์ ผู้อำนวยการ GISTDA กล่าวอย่างหนักแน่นในงานเปิดตัวว่า “เราไม่ได้มองว่านี่เป็นเพียงเครื่องมือทางเทคนิค แต่คือ ‘โครงสร้างพื้นฐาน’ ที่จะรองรับการจัดการภัยพิบัติในมิติใหม่” วิสัยทัศน์นี้สะท้อนถึงการยกระดับจากการตอบสนองเมื่อเกิดเหตุ ไปสู่การเตรียมความพร้อมและวางแผนฟื้นฟูอย่างเป็นระบบ
“Disaster Platform” ถูกสร้างขึ้นบนหลักการของข้อมูลเปิด (Open Data) และการแบ่งปันข้อมูล (Data Sharing) ทำให้ทุกภาคส่วน ตั้งแต่เจ้าหน้าที่ภาคสนามในพื้นที่ห่างไกล, หน่วยงานระดับปฏิบัติการ, ไปจนถึงผู้กำหนดนโยบายระดับประเทศ สามารถเข้าถึงและแลกเปลี่ยนข้อมูลชุดเดียวกันได้อย่างไร้รอยต่อ ก่อให้เกิดระบบนิเวศข้อมูลที่โปร่งใสและมีประสิทธิภาพ
ความโดดเด่นของ Disaster Platform อยู่ที่การนำเทคโนโลยีล่าสุดมาประยุกต์ใช้อย่างเป็นรูปธรรม:
Big Data Analytics: ระบบสามารถรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลมหาศาลจากดาวเทียมสำรวจทรัพยากรหลายสิบดวง ทั้งของไทยและพันธมิตรต่างชาติ ทำให้สามารถติดตามสถานการณ์ได้ครอบคลุมทั่วประเทศแบบเกือบเรียลไทม์ (Near Real-time)
Artificial Intelligence (AI): ปัญญาประดิษฐ์ถูกนำมาใช้ในการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ เช่น การประเมินพื้นที่เสี่ยงไฟป่าล่วงหน้า หรือการคาดการณ์พื้นที่น้ำท่วมขัง เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถวางแผนป้องกันได้ก่อนเกิดเหตุ
Interactive GIS: ผู้ใช้งานสามารถดูข้อมูลซ้อนทับบนแผนที่เชิงโต้ตอบ ทำให้เห็นภาพความเสียหายได้อย่างชัดเจน เช่น สามารถระบุได้ทันทีว่ามีโรงเรียน โรงพยาบาล หรือเส้นทางคมนาคมใดบ้างที่อยู่ในพื้นที่น้ำท่วม หรือจุดความร้อน (Hotspot) ที่เกิดขึ้นนั้นอยู่ในเขตป่าอนุรักษ์หรือพื้นที่เกษตรกรรม
“การผสานเทคโนโลยีเหล่านี้ทำให้การตัดสินใจในยามวิกฤตเกิดขึ้นอย่างถูกต้องและทันท่วงที” ดร.ปกรณ์กล่าวเสริม “เป้าหมายของเราคือการสร้างความมั่นใจให้สังคม ว่าเรามีเครื่องมือที่พร้อมรับมือกับอนาคตด้วยข้อมูลที่แม่นยำ”
GISTDA ไม่ได้จำกัดการใช้งานไว้เฉพาะในกลุ่มเจ้าหน้าที่ แต่ได้ต่อยอดข้อมูลจากแพลตฟอร์มหลักมาสู่แอปพลิเคชันบนมือถือที่ประชาชนทั่วไปสามารถใช้งานได้ง่าย อาทิ:
เช็คน้ำ: แจ้งเตือนความเสี่ยงน้ำท่วมแบบเรียลไทม์ โดยใช้เทคโนโลยี Location Intelligence ระบุความเสี่ยง ณ จุดที่ผู้ใช้งานยืนอยู่
เช็คฝุ่น: รายงานค่าฝุ่น PM2.5 ได้ละเอียดถึงระดับตำบลแบบรายชั่วโมง
เช็คแล้ง: ช่วยเกษตรกรติดตามความเสี่ยงภัยแล้งในแปลงเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจ
ไลฟ์ดี (Life Dee): แอปพลิเคชันที่เชื่อมโยงข้อมูลฝุ่น PM2.5 กับข้อมูลด้านสาธารณสุข เพื่อประเมินความเสี่ยงต่อสุขภาพส่วนบุคคล
แม้ GISTDA จะไม่ใช่หน่วยงานปฏิบัติการจัดการภัยพิบัติโดยตรง แต่ทำหน้าที่เป็นผู้ติดตาม วิเคราะห์ และสนับสนุนข้อมูลภาพถ่ายจากดาวเทียมให้กับหน่วยงานหลัก เช่น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.), สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ, และกรมชลประทาน ปัจจุบันภาคเอกชนอย่างสมาคมประกันภัยและสถาบันการเงิน ก็เริ่มหันมาใช้ข้อมูลจากแพลตฟอร์มนี้เพื่อประเมินความเสี่ยงเชิงพื้นที่มากขึ้น
ดร.สุรัสวดี ภูมิพานิช นักภูมิสารสนเทศชำนาญการจาก GISTDA ให้ข้อมูลว่า แพลตฟอร์มนี้สามารถติดตามจุดความร้อนที่ก่อให้เกิดไฟป่าได้สูงถึง 10 ครั้งต่อวัน จากดาวเทียมหลายระบบ ทำให้การตอบสนองต่อสถานการณ์ไฟป่าเป็นไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่ข้อมูลภัยแล้งก็ลงลึกถึงระดับความชื้นในดิน (Soil Moisture) ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการวางแผนเกษตรกรรม
ในอนาคต GISTDA มีแผนจะเพิ่มชั้นข้อมูลสำคัญอื่นๆ เช่น ร่องรอยดินถล่ม, แหล่งน้ำขนาดเล็ก, และข้อมูลสิ่งกีดขวางทางน้ำอย่างผักตบชวา เพื่อให้การบริหารจัดการภัยพิบัติของไทยครอบคลุมและสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น
การลงทุนใน Disaster Platform จึงไม่ใช่แค่การซื้อเทคโนโลยี แต่เป็นการสร้าง "เกราะป้องกันดิจิทัล" ที่จะช่วยลดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของคนไทยในระยะยาว และเป็นต้นแบบที่น่าจับตาของการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศเพื่อรับมือกับความท้าทายบนภาคพื้นดินได้อย่างแท้จริง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง