SHORT CUT
เมืองโทโยอาเกะ ญี่ปุ่น ผ่านร่างกฎหมายจำกัดเวลาใช้มือถือไม่เกิน 2 ชม./วัน แม้ไม่มีบทลงโทษ แต่ตั้งเป้าสร้างความตระหนักถึงผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตในยุคดิจิทัล
เมืองโทโยอาเกะ จังหวัดไอจิ ประเทศญี่ปุ่น สร้างความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญในแวดวงเทคโนโลยีและสังคม ด้วยการผ่านร่างกฎหมายจำกัดการใช้สมาร์ทโฟนของพลเมืองอย่างเป็นทางการ
โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมนี้เป็นต้นไป นับเป็นความพยายามระดับท้องถิ่นที่น่าจับตาในการรับมือกับความท้าทายด้าน "Digital Wellness" หรือสุขภาวะดิจิทัล
สภาเทศบาลเมืองโทโยอาเกะได้ลงมติเห็นชอบร่างกฎหมายดังกล่าวด้วยคะแนนเสียง 12 ต่อ 7 เสียง โดยสาระสำคัญคือการ "แนะนำ" ให้ประชาชนจำกัดการใช้งานสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์ดิจิทัลอื่น ๆ เพื่อวัตถุประสงค์นอกเหนือจากการทำงานหรือการเรียน "ไม่เกินวันละ 2 ชั่วโมง"
นอกจากนี้ ยังมีแนวปฏิบัติสำหรับเยาวชนโดยเฉพาะ คือให้เด็กระดับประถมศึกษาและต่ำกว่างดเว้นการใช้งาน หลังเวลา 21:00 น. และระดับมัธยมศึกษาขึ้นไปงดเว้นการใช้งานหลัง 22:00 น.
สิ่งที่น่าสนใจที่สุดของกฎหมายฉบับนี้คือการบังคับใช้ในลักษณะของ "คำแนะนำ" ที่ไม่มีบทลงโทษหากมีการฝ่าฝืน นายมาซาฟูมิ โคกิ (Masafumi Koki) นายกเทศมนตรีเมืองโทโยอาเกะ ซึ่งมีประชากรราว 69,000 คน ได้ย้ำอย่างชัดเจนว่า
เจตนาของกฎหมายนี้ไม่ใช่การควบคุมหรือจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน แต่เป็นการสร้างความตระหนักรู้และกระตุ้นให้เกิดการสนทนาถึงการใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสม
"โปรดอย่าเข้าใจผิดว่านี่คือมาตรฐานที่ต้องทำตาม สองชั่วโมงเป็นเพียงแนวทางปฏิบัติเท่านั้น" นายกเทศมนตรีกล่าว "ผมอยากให้ทุกคนงดใช้สมาร์ทโฟนมากเกินไปจนถึงเวลานอน"
แม้กฎหมายจะผ่านความเห็นชอบ แต่ในระหว่างการพิจารณาก็มีข้อถกเถียงเช่นกัน โดยมีสมาชิกสภาบางส่วนชี้ว่าการให้ข้อมูลและคำอธิบายแก่ประชาชนยังไม่เพียงพอ
ทำให้สภาต้องมีมติเพิ่มเติมเพื่อรับประกันว่าจะมีการสื่อสารที่ชัดเจน เคารพความหลากหลายของวิถีชีวิต และหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิด กฎหมายนี้ยังเรียกร้องให้ผู้ปกครองและโรงเรียนร่วมมือกันกำหนดกฎเกณฑ์การใช้งานอุปกรณ์ดิจิทัลภายในบ้าน เพื่อส่งเสริมสุขภาวะที่ดีของเยาวชน
โดยจากการสำรวจโดย Children and Families Agency ที่เผยแพร่เมื่อเดือนมีนาคม 2025 พบว่า เยาวชนญี่ปุ่นใช้เวลาในโลกออนไลน์เฉลี่ยกว่า 5 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งถือว่าสูงกว่ามาตรฐานที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตแนะนำ
ความเคลื่อนไหวของเมืองโทโยอาเกะสะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มที่รัฐบาลและองค์กรต่าง ๆ ทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญกับผลกระทบของเทคโนโลยีต่อสุขภาพจิตและสังคมมากขึ้น และอาจเป็นกรณีศึกษาที่สำคัญสำหรับเมืองอื่น ๆ ต่อไปในอนาคต