กำลังมีละครออนแอร์ให้แฟนๆ ได้ชมกันอยู่ในขณะนี้สำหรับสาว "พรีม รณิดา เตชสิทธิ์" กับละครเรื่อง "เสน่ห์รักนางซิน" วันนี้เราจึงขอพาทุกคนไปพูดคุยกับเธอกันว่าเส้นทางกว่าจะมาเธอพรีม ได้แบบทุกวันนี้มีจุดเริ่มต้นมาได้อย่างไร
"ตอนี้ก็ถ่ายละครอยู่ 1 เรื่อง และทำทีสิสค่ะ ปกติพรีมจะรับละคร 2 เรื่องค่ะ แต่ว่าพอมีเรื่องมหาลัยเข้ามาเราก็อยากเรียนให้จบไวๆ เลยรับแค่เรื่องเดียวไปก่อน ช่วงเดือนพฤษภาคมนี้ก็น่าจะเรียบร้อย แล้วพรีมก็จะพาครอบครัวไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วย"
"พรีมเริ่มต้นจากการที่พรีมย้ายมาอยู่เมมืองไทยได้ไม้กี่ปีเอง ก็มีเอเจนซี่เข้ามาบ้าง แต่ตอนเด็กๆเราก็ค่อนข้างเขินค่ะไม่คิดว่าจะมาทำอะไรแบบนี้จนมาเจอ พี่พลอย พี่แพรค่ะ หนูยังดัดฟันอยู่เลยในตอนนั้น มันเป็นจังหวะที่เราคิดว่าหรือเราจะต้องลองด้วยค่ะเลยตัดสินใจอะลองก็ได้ (ตัดสินใจนานไหม) จริงๆก็ไม่นะคะ ด้วยความที่คุยกันแล้วคลิกด้วยค่ะเลยทำให้เรามีความไว้วางใจด้วย"
"จริงๆคุณแม่พูดมาตลอดว่าพรีมเป็นเด็กรักการแสดงเพราะคุณแม่เห็นแววเราตั้งแต่เด็ก และจริงๆลึกๆหนูเป็นคนชอบร้องเพลง ชอบแสดง ชอบแต่งตัวแต่ด้วยวัยมั้งค่ะมันเลยเขินอาย แต่แม่ก็เหมือนมองข้ามสิ่งนั้นไปแล้วและแม่ก็เลยสนับสนุนมาตลอด และแม่ก็รู้อยู่แล้วว่าไม่ว่ายังไงหนูก็ทำได้ ถ้ามีโอกาสจริงๆ"
"มันก็เปลี่ยนนะคะ ตอนนั้นหนูยังอยู่แค่ม.ต้นอยู่เลย คนอื่นอาจจะแค่เรียน เรียนพิเศษ กลับบ้านรเล่นเกมส์ แต่กลับกันหนูก็ต้องมาทำงานด้วยเล่นละครด้วยทำให้ ความรับผิดชอบของเรามาเร็วกว่าคนอื่น ตั้้งแต่ตอนนั้น ชีวิตก็เปลี่ยนไปในเรื่องของการแบ่งเวลาการดำรงค์ชีวิตการจัดเรียงลำดับเราอาจจะต้องเสียสละเวลาของความสนุกในช่วงวัยรุ่นไป (เรารู้สึกขาดไหม) ตอนเด็กๆมันก็มีงอแงบ้างแต่พอทำไปเรื่อยๆมันก็ชินไปเอง บวกกับมันเป็นงานที่หนูสนุกกับมันด้วย ก็เลยรู้สึกสนุกมากกว่า (เวลางอแงมีวิธีจัดการกับตัวเองยังไง) นอนค่ะ ถ้าหนูงอแงหนูก็จะชอบนอน หรือไม่ก็หากิจกรรมอะไรทำ พอเรางอแงเราก็จะหาอะไรทำที่เป็นกิจกรรมที่เราชอบก็จะหายเหนื่อยค่ะ"
"ถ้าเป็นเรื่องของการเล่นละครก็คือการทำให้เรากล้าแสดงออกมากขึ้นไม่เขินกล้าที่จะเป็นคนอื่นมากขึ้น แต่โดยรวมก็สอนการปฏิบัติตนท่ามกลางคนเยอะๆค่ะ เวลาเราทำเราก็ไม่รู้ว่าเราจะเจอคนแบบไหน หลากหลายอารมณ์ หลากหลายนิสัยแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันวงการนี้ก็สอนให้พรีมทำตัวยังไงให้ตัวเราไม่เครียดด้วยทุกคนก็แฮปปี้ด้วย ทำให้เราสามารถอยู่กับคนได้หลายแบบในเวลาเดียวกัน"
"ก็ต้องกลับมาที่ตัวเองค่ะเราเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในวงการตลอดว่าตอนนี้ก็มีเด็กใหม่เข้ามานะ มันเริ่มเปลี่ยนรูปแบบเข้ามา สิ่งที่สำคัญคือเราต้องไม่หยุดพัฒนาตัวเอง เราต้องไม่คิดว่าตัวเองสะบายแล้ว พรีมไม่คิดว่าเรามีจุดนั้นเลย คนเรามันต้องเดินไปข้างหน้าเสมอเพราเราก็ไม่รู้ว่ามีคนอีกตั้งกี่คนที่เค้าก็อยาจจะเก่ง มุ่งมั่นมากกว่าเรา สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดก็คือการเดินไปทีละก้าวพัฒนาไปเรื่อยๆ พรีมว่าก็ไม่มีอะไรต้องกลัวค่ะ"
"พรีมนี่เป็นสายวิทยาศาสตร์จ๋ามาเลยค่ะ ถ้าไม่ได้มาทำในจุดนี้ พนรีมคงได้เป็นแบบสัตวแพทย์อะค่ะ เราฝันว่าเราอยากทำงานในแลป อยากทำงานวิจัย เป็นสายช่วยโลกช่วยมนุษย์ อาจจะเป็นสายวิทยาศาสตร์ช่วยโลกอะไรแบบนั้นเลย แต่ว่าถ้าให้ย้อนกลับไปในตอนนี้ลึกๆแล้วก็คงอยากเป็นในเรื่องของภาษาแทน หรือเป็นอาชีพที่ได้เจอกับคนเยอะๆ หลายๆประเทศ หลายๆชนชาติ เพราะพรีมเป็นคนชอบภาษาค่ะ ชอบการท่องเที่ยวอยู่แล้วค่ะ"
"เป็นสีเรนโบว์ค่ะ หนูค่อนข้างที่จะมีความสุขกับชีวิตก็อยู่กับเพื่อนเฮฮาปกติทั่วไป ก็ไม่ได้มีใครเข้ามา (คิดว่าคนในหรือคนนอกว่งการเหมาะกับเรามากกว่า) การเป็นคนในหรือคนนอกวงการตัดสินไม่ได้เลยค่ะ สุดท้ายแล้วขึ้นอยู่กับคนคนนั้นเองค่ะ จะเป็นคนในหรือคนนอกวงการก็ได้ ถ้าเป็นคนในวงการก็คงเข้าใจในเรื่องของการทำงาน แต่สุดท้ายมันก็ไม่มีผลค่ะไม่น่าเกี่ยว"
"พรีมว่าเงือนไขมันจะเยอะกว่านิดนึง อาจจะมีบางสถานที่ที่เราไม่ควรไป หรือเรื่องช่วงเวลาเราของเราก็ไม่แน่นอนก็คงต้องรับในจุดนี้ให้ได้ แล้วก็เรื่องของอารมณ์ด้วย บางทีเราทำงานมาตั้งแต่ 6โมงเช้า-4ทุ่ม บางทีมันก็มีอารมณ์เหนื่อย เราก็คคงไม่มาทำตัวสดใสร่าเริงได้อย่างนี้ค่ะ "
"ก็มีบ้างค่ะ เป็นเรื่องของเวลามากกว่าก็ไม่ได้เชิงแบบว่าเขาจะมาจีบเราแต่เป็นเรื่องความบังเอิญมากกว่าอย่างที่มหาลัยที่เราต้องมาทำงานด้วยกันต้องมาเจอกันเป็นช่วงจังหวะชีวิตที่เราได้มาใช้เวลาอยู่ด้วยกันบ่อยๆ แต่พอมันจบไปแล้วก็ต่างคนต่างกลับไปมีชีวิตของตัวเองเหมือนเดิม ก็ไม่ได้กลับมาเจอกัน"
ขอบคุณภาพ : jpreem