
โรคเบาหวาน พิชิตด้วยการเลือกโภชนาการที่ดี เพื่อวิถีชีวิตที่ดีต่อสุขภาพ สู่ภาวะเบาหวานสงบ ผู้เชี่ยวชาญชี้ การปรับพฤติกรรมคือกุญแจสู่การควบคุมโรค
โรคเบาหวานยังคงเป็นภัยคุกคามด้านสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศไทย โดยมีรายงานว่า ชาวไทยกว่า 6.5 ล้านคน กำลังเผชิญกับโรคนี้ ซึ่งสร้างภาระงบประมาณด้านสาธารณสุขมากกว่า 47,000 ล้านบาทต่อปี ข้อมูลจาก IDF Diabetes Atlas ปี 2025 ชี้ว่า ความชุกของโรคเบาหวาน ในกลุ่มผู้ใหญ่ชาวไทย (อายุ 20-79 ปี) อยู่ที่ 11.7% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 11.1% และสูงเป็นอันดับที่ 4 ในภูมิภาคอาเซียน นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ยังระบุว่า ผู้ป่วยเบาหวานมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนทางหัวใจและโรคไตเรื้อรังอย่างมีนัยสำคัญ³
ในโอกาสวันเบาหวานโลก ปี 2568 นี้ จึงมีการเน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการยกระดับ การป้องกัน การตรวจคัดกรองระยะแรก และการดูแลผู้ป่วยอย่างรอบด้าน เพื่อควบคุมโรคและลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน
ทพญ.ดร.อรุณี ลายธีระพงศ์ ผู้อำนวยการการแพทย์ด้านโภชนาการของแอ๊บบอต ประจำประเทศไทย ระบุว่า แม้โรคเบาหวานจะมีหลายปัจจัยเสี่ยง แต่ การเลือกรูปแบบวิถีชีวิตเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ส่งผลต่อความรุนแรงและภาวะแทรกซ้อนของโรค
"ประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ ในเอเชียกำลังเผชิญกับการขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็ว ทำให้ประชากรมีแนวโน้มของการเคลื่อนไหวร่างกายน้อยลงและการรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสมเพิ่มขึ้น" ทพญ.ดร.อรุณี อธิบาย พร้อมเสริมว่า จากการศึกษาพบว่า ผู้ป่วยเบาหวานในเอเชียมากถึง 3 ใน 4 คน มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดี
จากสถิติที่เพิ่มขึ้น ภาครัฐจึงได้ผลักดันแนวทางเชิงรุก กระทรวงสาธารณสุขไทย ได้ร่วมกับหน่วยงานวิชาชีพจัดทำ "แนวทางการดูแลผู้ป่วยเบาหวานให้เข้าสู่ระยะสงบ (Diabetes Remission Guidelines)" เมื่อปี พ.ศ. 2565 โดยเน้นที่การ ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างเข้มงวด ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งรวมถึงการวางแผนโภชนาการเฉพาะบุคคลและการออกกำลังกาย
ภาวะเบาหวานสงบ (Remission) ตามคำนิยามของสมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย หมายถึง ภาวะที่ผู้ป่วยสามารถควบคุมระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือด (HbA1c) ให้อยู่ ต่ำกว่า 6.5% ติดต่อกันอย่างน้อย 3 เดือน โดย ไม่ต้องพึ่งพายาเบาหวานโดยตรง
ทพญ.ดร.อรุณี เน้นย้ำว่า "แม้ภาวะเบาหวานสงบจะเป็นเป้าหมายที่สำคัญ แต่สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่า นี่ไม่ใช่การหายขาด ต้นเหตุของโรคยังคงมีอยู่ จึงจำเป็นต้องดูแลพฤติกรรมการใช้ชีวิตอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาภาวะสงบนี้ไว้"
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างเข้มงวดเป็นความท้าทายในชีวิตจริง อาหารทางการแพทย์สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน จึงถูกนำเสนอเป็นทางเลือกหนึ่งที่ช่วยให้ผู้ป่วยควบคุมโภชนาการต่อวันได้ดียิ่งขึ้น
การศึกษาวิจัยทางคลินิกเมื่อปี พ.ศ. 2560 ในกลุ่มผู้ใหญ่โรคเบาหวานชนิดที่ 2 จำนวน 235 คน ที่มีภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน ซึ่งรับประทานอาหารทดแทนสูตรครบถ้วนสำหรับผู้ป่วยเบาหวานทดแทนมื้ออาหารบางส่วน เป็นเวลา 180 วัน พบผลลัพธ์ที่น่าสนใจ
การศึกษานี้ชี้ว่า การใช้ผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ สูตรครบถ้วนสำหรับผู้ป่วยเบาหวานมาแทนมื้ออาหารบางส่วนหรือทั้งหมด อาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วนร่วมกับโรคเบาหวาน
การจัดการโรคเบาหวานให้มีประสิทธิภาพต้องอาศัยการปรับพฤติกรรมให้เข้ากับวิถีชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะใน สถานที่ทำงาน ซึ่งเป็นแนวทางหลักของวันเบาหวานโลกประจำปี 2568
เตรียมอาหารล่วงหน้า โดยเน้นความสมดุลของคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน เลือกคาร์โบไฮเดรตที่มีดัชนีน้ำตาล (GI) ต่ำ เพราะ อาหารที่มีค่า GI ต่ำจะย่อยช้า ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดขึ้นช้าลง เช่น ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโอ๊ต และถั่ว
พฤติกรรมนี้นอกจากจะเพิ่มปริมาณแคลอรีให้ร่างกายแล้ว ยังเพิ่มปริมาณน้ำตาลที่มากเกินไป ควรเลือกของว่างที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เช่น ถั่วไม่ใส่เกลือหรือผลไม้ แทนขนมที่มีน้ำตาลสูง และต้องควบคุมปริมาณที่รับประทาน
การออกกำลังกายช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ เนื่องจากร่างกายจะดึงกลูโคสไปใช้และใช้อินซูลินได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้นตั้งเป้าหมายออกกำลังกายความเข้มข้นปานกลางอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ เช่น การเดินเร็ว หรือวิ่งเหยาะ ๆ ในวันทำงาน ลองเปลี่ยนมาใช้บันได หรือเดินให้มากขึ้นในช่วงพัก
การจัดการโรคเบาหวานต้องอาศัย การดูแลโภชนาการที่ปรับให้เหมาะกับแต่ละบุคคล ควบคู่ไปกับการปรับพฤติกรรมและวิถีชีวิต โดยเฉพาะในสถานที่ทำงาน การเริ่มต้นปรับเปลี่ยนตั้งแต่เนิ่น ๆ มีส่วนสำคัญในการควบคุมโรคให้มีประสิทธิภาพ และอาจนำไปสู่ภาวะเบาหวานสงบในผู้ป่วยบางราย
"การเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ เช่น การเลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพและขยับร่างกายให้มากขึ้นระหว่างวันทำงาน หากทำอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลดีต่อสุขภาพได้อย่างชัดเจน... การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเพื่อวางแผนโภชนาการและวิถีชีวิตที่เหมาะสมกับกิจวัตรจึงเป็นสิ่งสำคัญ"