svasdssvasds

ปีแรกแห่งการกลับมาของทรัมป์ ทำอะไรลงไปกับ 'สิ่งแวดล้อม' ?

ปีแรกแห่งการกลับมาของทรัมป์ ทำอะไรลงไปกับ 'สิ่งแวดล้อม' ?

แม้จะเป็นปีแรกแห่งการกลับมาดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ของโดนัลด์ ทรัมป์ แต่กลับมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายและมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมแบบแทบจะพลิกฟ้าคว่ำดิน

SHORT CUT

  • ทรัมป์ดำเนินนโยบายส่งเสริมเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างเต็มรูปแบบ เช่น น้ำมัน ก๊าซ และถ่านหิน พร้อมทั้งยกเลิกการสนับสนุนและขัดขวางการเติบโตของพลังงานสะอาด
  • มีการยกเลิกและผ่อนปรนกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมจำนวนมากที่เคยมีมา ทั้งข้อจำกัดด้านมลพิษทางอากาศ ทางน้ำ และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากโรงไฟฟ้าและภาคอุตสาหกรรม
  • รัฐบาลทรัมป์ถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตัดงบประมาณการวิจัย และลบคำว่า "การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ" ออกจากเว็บไซต์ของรัฐบาลกลาง

แม้จะเป็นปีแรกแห่งการกลับมาดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ของโดนัลด์ ทรัมป์ แต่กลับมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายและมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมแบบแทบจะพลิกฟ้าคว่ำดิน

ผ่านไปแล้วสำหรับปีแรกแห่งการกลับเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นสมัยที่สอง ของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่แม้จะสร้างความเคลื่อนไหวมากมายบนเวทีโลกไม่เว้นแต่ละวัน แต่หนึ่งในแนวทางการบริหารที่เห็นได้ชัดและส่งผลกระทบต่อโลกมากที่สุด ก็คือนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมที่แทบจะทุบทำลายทุกสิ่งที่รัฐบาลก่อนหน้าเคยสร้างมา โดยเฉพาะการขัดขวางการเติบโตของ 'พลังงานสะอาด' และหันไปฟื้นฟูตลาดของ 'เชื้อเพลิงฟอสซิล' แทน

โดยการเปลี่ยนแปลงสำคัญ ที่เกิดขึ้นตลอดทั้งปีที่ผ่านมา ได้แก่

ด้านมลพิษ

  • เสนอให้ยกเลิกข้อจำกัดสารปรอทและมลพิษจากโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน
  • เสนอให้ยกเลิกข้อจำกัดการปล่อยมลพิษสำหรับรถบรรทุกของรัฐแคลิฟอร์เนีย
  • อนุญาตให้ดำเนินกิจกรรมการก่อสร้างโดยไม่ต้องขออนุญาตภายใต้พระราชบัญญัติอากาศสะอาด
  • ขยายกำหนดเวลาสำหรับโรงงานเหล็กในการลดมลพิษทางอากาศที่เป็นอันตราย

ด้านการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

  • ร่างกฎระเบียบ การยกเลิกข้อจำกัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินและก๊าซ
  • เลื่อนกำหนดการลดการปล่อยก๊าซมีเทนสำหรับบริษัทน้ำมันและก๊าซ
  • ร่างกฎระเบียบ ยกเลิกการเปิดเผยปริมาณก๊าซเรือนกระจกสำหรับโรงงานที่ก่อให้เกิดมลพิษ
  • ผ่อนปรนกฎระเบียบเกี่ยวกับสารมลพิษทางอากาศที่เป็นอันตรายอย่าง ไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน หรือ HFCs

ด้านมลพิษทางน้ำ

  • เลื่อนกำหนดการกำจัด “สารเคมีถาวร” สองประเภทออกจากน้ำดื่มสำหรับหน่วยงานประปา
  • เลื่อนกำหนดการทำความสะอาดหลุมฝังกลบเถ้าถ่านหินที่เป็นพิษสำหรับบริษัทผลิตไฟฟ้า
  • เสนอให้ขยายเวลาการลดการปล่อยน้ำเสียของโรงไฟฟ้าพลังไอน้ำ
  • เสนอให้ยกเลิกการคุ้มครองพื้นที่ชุ่มน้ำและลำธารหลายล้านเอเคอร์
  • เสนอการขยายเวลาปิดบ่อเถ้าถ่านหินขนาดใหญ่ที่ไม่มีการบุรองของโรงงานถ่านหิน

ปีแรกแห่งการกลับมาของทรัมป์ ทำอะไรลงไปกับ 'สิ่งแวดล้อม' ?

การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ล้วยสอดคล้องกับคำมั่นสัญญาของทรัมป์ในวันแรกที่กลับเข้ารับตำแหน่ง ซึ่งระบุว่า เขาจะปลดปล่อยศักยภาพการผลิตพลังงานของสหรัฐฯ โดยการส่งเสริมเชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น น้ำมัน ก๊าซ ถ่านหิน และจำกัดแหล่งพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์

ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลของทรัมป์ได้ดำเนินการตามสัญญาด้วยความรวดเร็วอย่างน่าตกใจ พื้นที่ดินและน้ำของรัฐบาลกลางกว่าหนึ่งพันล้านเอเคอร์ถูกเสนอให้ใช้เป็นพื้นที่สำหรับการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซ หยุดยั้งการปลดระวางโรงไฟฟ้าถ่านหินที่เก่าแก่ และมีคำสั่งให้เร่งอนุมัติโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เพิ่มมากขึ้น

นอกจากนี้ยังดำเนินการอย่างโจ่งแจ้งในการยกเลิกเงินทุนอุดหนุนสำหรับโครงการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ กังหันลม และการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงคำสั่งชะลอหรือยุติโครงการพลังงานสะอาดใหม่ๆ และขัดขวางมาตรการที่จะบังคับให้ผู้ผลิตรถยนต์เปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าแทนรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซิน

ปีแรกแห่งการกลับมาของทรัมป์ ทำอะไรลงไปกับ 'สิ่งแวดล้อม' ?

โดยแนวคิดหลักของทรัมป์คือการเพิ่มการผลิตน้ำมันและก๊าซเพื่อให้มันมีราคาถูกลง ซึ่งผลที่ตามมาคือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในภาคพลังงานของประเทศ การส่งออกก๊าซธรรมชาติเหลวที่พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ และการบริโภคถ่านหินซึ่งเคยลดลงอย่างมากก็ฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อยในปีนี้

รัฐบาลทรัมป์ยังดำเนินการลึกลงไปถึงขั้นขุดรากถอนโคนด้วยการ ลบคำศัพท์ “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” ออกจากเว็บไซต์ของรัฐบาลกลาง ควบคู่กับการตัดงบประมาณการวิจัยด้านสภาพภูมิอากาศ โดยอ้างว่าเป็นถ้อยคำที่ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกจนเกิดเหตุในหมู่ประชาชน

เท่านั้นไม่พอ ทรัมป์ยังพยายามโน้มน้าวให้ประเทศอื่นๆ ลดนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศของตนเองลงด้วย  เริ่มตั้งแต่การถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไปจนถึงการใช้นโยบายการค้าเพื่อส่งเสริมเชื้อเพลิงฟอสซิลในต่างประเทศ 

อีกหนึ่งความเคลื่อนไหวที่สร้างเสียงวิพากย์วิจารณ์มากที่สุดคือ การสั่งปลดเจ้าหน้าที่หน่วยงานจัดการเหตุฉุกเฉินแห่งชาติ (FEMA) ออกถึง 25% ทำให้หน่วยงานขาดผู้นำที่มีประสบการณ์ และขาดประสิทธิภาพในการดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุภัยพิบัติ โดยทำเนียบขาวอ้างว่ามาตรการดังกล่าวเป็นไปเพื่อลดบทบาทที่มากเกินไปของ FEMA เพื่อส่งเสริมบทบาทของรัฐบาลท้องถิ่นแทน

ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญต่างเป็นกังวลว่า การกระทำภายใต้รัฐบาลทรัมป์ในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่จะขัดขวางความคืบหน้าด้านการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากความพยายามอย่างต่อเนื่องมานานหลายสิบปี ยังอาจสร้างบาดแผลลึกที่จะส่งผลกระทบต่อไปอีกหลายปีข้างหน้าจนยากที่จะฟื้นฟูกลับมาได้ ไม่ต่างจากการหยุดเวลาของสหรัฐฯ ในการปรับตัวและการสร้างความยืดหยุ่นที่จำเป็นต่อการรับมือวิกฤติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในอนาคต