
SHORT CUT
แม้จะเป็นปีแรกแห่งการกลับมาดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ของโดนัลด์ ทรัมป์ แต่กลับมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายและมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมแบบแทบจะพลิกฟ้าคว่ำดิน
ผ่านไปแล้วสำหรับปีแรกแห่งการกลับเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นสมัยที่สอง ของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่แม้จะสร้างความเคลื่อนไหวมากมายบนเวทีโลกไม่เว้นแต่ละวัน แต่หนึ่งในแนวทางการบริหารที่เห็นได้ชัดและส่งผลกระทบต่อโลกมากที่สุด ก็คือนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมที่แทบจะทุบทำลายทุกสิ่งที่รัฐบาลก่อนหน้าเคยสร้างมา โดยเฉพาะการขัดขวางการเติบโตของ 'พลังงานสะอาด' และหันไปฟื้นฟูตลาดของ 'เชื้อเพลิงฟอสซิล' แทน
โดยการเปลี่ยนแปลงสำคัญ ที่เกิดขึ้นตลอดทั้งปีที่ผ่านมา ได้แก่
ด้านมลพิษ
ด้านการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ด้านมลพิษทางน้ำ
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ล้วยสอดคล้องกับคำมั่นสัญญาของทรัมป์ในวันแรกที่กลับเข้ารับตำแหน่ง ซึ่งระบุว่า เขาจะปลดปล่อยศักยภาพการผลิตพลังงานของสหรัฐฯ โดยการส่งเสริมเชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น น้ำมัน ก๊าซ ถ่านหิน และจำกัดแหล่งพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์
ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลของทรัมป์ได้ดำเนินการตามสัญญาด้วยความรวดเร็วอย่างน่าตกใจ พื้นที่ดินและน้ำของรัฐบาลกลางกว่าหนึ่งพันล้านเอเคอร์ถูกเสนอให้ใช้เป็นพื้นที่สำหรับการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซ หยุดยั้งการปลดระวางโรงไฟฟ้าถ่านหินที่เก่าแก่ และมีคำสั่งให้เร่งอนุมัติโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้ยังดำเนินการอย่างโจ่งแจ้งในการยกเลิกเงินทุนอุดหนุนสำหรับโครงการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ กังหันลม และการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงคำสั่งชะลอหรือยุติโครงการพลังงานสะอาดใหม่ๆ และขัดขวางมาตรการที่จะบังคับให้ผู้ผลิตรถยนต์เปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าแทนรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซิน
โดยแนวคิดหลักของทรัมป์คือการเพิ่มการผลิตน้ำมันและก๊าซเพื่อให้มันมีราคาถูกลง ซึ่งผลที่ตามมาคือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในภาคพลังงานของประเทศ การส่งออกก๊าซธรรมชาติเหลวที่พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ และการบริโภคถ่านหินซึ่งเคยลดลงอย่างมากก็ฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อยในปีนี้
รัฐบาลทรัมป์ยังดำเนินการลึกลงไปถึงขั้นขุดรากถอนโคนด้วยการ ลบคำศัพท์ “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” ออกจากเว็บไซต์ของรัฐบาลกลาง ควบคู่กับการตัดงบประมาณการวิจัยด้านสภาพภูมิอากาศ โดยอ้างว่าเป็นถ้อยคำที่ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกจนเกิดเหตุในหมู่ประชาชน
เท่านั้นไม่พอ ทรัมป์ยังพยายามโน้มน้าวให้ประเทศอื่นๆ ลดนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศของตนเองลงด้วย เริ่มตั้งแต่การถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไปจนถึงการใช้นโยบายการค้าเพื่อส่งเสริมเชื้อเพลิงฟอสซิลในต่างประเทศ
อีกหนึ่งความเคลื่อนไหวที่สร้างเสียงวิพากย์วิจารณ์มากที่สุดคือ การสั่งปลดเจ้าหน้าที่หน่วยงานจัดการเหตุฉุกเฉินแห่งชาติ (FEMA) ออกถึง 25% ทำให้หน่วยงานขาดผู้นำที่มีประสบการณ์ และขาดประสิทธิภาพในการดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุภัยพิบัติ โดยทำเนียบขาวอ้างว่ามาตรการดังกล่าวเป็นไปเพื่อลดบทบาทที่มากเกินไปของ FEMA เพื่อส่งเสริมบทบาทของรัฐบาลท้องถิ่นแทน
ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญต่างเป็นกังวลว่า การกระทำภายใต้รัฐบาลทรัมป์ในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่จะขัดขวางความคืบหน้าด้านการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากความพยายามอย่างต่อเนื่องมานานหลายสิบปี ยังอาจสร้างบาดแผลลึกที่จะส่งผลกระทบต่อไปอีกหลายปีข้างหน้าจนยากที่จะฟื้นฟูกลับมาได้ ไม่ต่างจากการหยุดเวลาของสหรัฐฯ ในการปรับตัวและการสร้างความยืดหยุ่นที่จำเป็นต่อการรับมือวิกฤติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในอนาคต