SHORT CUT
วอลโว่ ทรัคส์ (Volvo Trucks) เดินหน้าสร้างประวัติศาสตร์อย่างเงียบๆ ด้วยการส่งมอบรถบรรทุกไฟฟ้าคันที่ 5,000 ตอกย้ำความเป็นผู้นำในตลาดโลก
วอลโว่ บรรลุเป้าหมายสำคัญอีกครั้งด้วยการส่งมอบรถบรรทุกไฟฟ้า คันที่ "5,000" อย่างเป็นทางการ ตอกย้ำสถานะผู้นำในตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์พลังงานไฟฟ้า
ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดในภาคการขนส่งทั่วโลก ความสำเร็จนี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่การส่งมอบรถบรรทุกไฟฟ้าคันแรกในปี 2019
ปัจจุบัน รถบรรทุกไฟฟ้าของวอลโว่ได้วิ่งให้บริการแก่ลูกค้าในกว่า 50 ประเทศทั่วโลก ครอบคลุมระยะทางรวมกันแล้วมากกว่า 170 ล้านกิโลเมตร
ความสำเร็จในการใช้งานจริงนี้ไม่เพียงแต่พิสูจน์ถึงประสิทธิภาพและสมรรถนะของตัวรถบรรทุกไฟฟ้าแต่ยังส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมโดยตรง
ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และไนโตรเจนออกไซด์ (NOx) จำนวนมหาศาล รวมถึงลดมลภาวะทางเสียง ทำให้คุณภาพชีวิตของผู้คนในบริเวณใกล้เคียงเส้นทางขนส่งดียิ่งขึ้น
นายโรเจอร์ อาล์ม ประธานวอลโว่ ทรัคส์ กล่าวว่า "เป็นเรื่องน่ายินดีที่ได้เห็นบริษัทขนส่งจำนวนมากยอมรับประโยชน์ของรถบรรทุกไฟฟ้าในกลุ่มธุรกิจที่หลากหลาย"
"รถบรรทุกไฟฟ้าของเราพร้อมใช้งานแล้วในปัจจุบัน เพื่อเป็นทางเลือกที่ยั่งยืนและสมเหตุสมผลทางธุรกิจให้กับลูกค้าของเรา และลูกค้าจำนวนมากก็กลับมาสั่งซื้อเพิ่มเพื่อขยายกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าของพวกเขา"
เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งในตลาดอย่าง Tesla ที่ได้รับความสนใจอย่างสูงมาโดยตลอดนับตั้งแต่การเปิดตัว Tesla Semi ในปี 2017
แต่มีการส่งมอบรถไปแล้วประมาณ 140 คัน จะเห็นได้ว่าวอลโว่มีความก้าวหน้าในด้านการผลิตและส่งมอบที่จับต้องได้มากกว่าอย่างชัดเจน
ความสำเร็จของวอลโว่เด่นชัดอย่างยิ่งในตลาดยุโรป ซึ่งบริษัทครองตำแหน่งผู้นำในกลุ่มรถบรรทุกไฟฟ้าขนาดใหญ่ติดต่อกัน 5 ปีซ้อน ด้วยส่วนแบ่งการตลาดสูงถึง 47%
ขณะที่ในตลาดสหรัฐอเมริกาและแคนาดา วอลโว่ก็มีส่วนแบ่งการตลาดที่แข็งแกร่งถึง 40% ในปี 2024 แม้ Tesla จะเคยสร้างปรากฏการณ์พลิกเอาชนะผู้นำตลาดเดิมได้ในอดีต
แต่ด้วยความท้าทายด้านการผลิตจำนวนมากที่คาดว่าจะเริ่มได้ในปี 2026 และราคาจำหน่ายที่สูงขึ้นอย่างมาก การไล่ตามผู้นำอย่างวอลโว่จึงเป็นโจทย์ที่ท้าทายอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม การแข่งขันในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าถือเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อมโดยรวม เพราะไม่ว่าใครจะเป็นผู้ชนะ ผลลัพธ์สุดท้ายคือการเร่งให้เกิดการเปลี่ยนผ่านสู่การขนส่งที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อโลกมากยิ่งขึ้น
ที่มา : Electrek