สผ.เผย ปลาหมอคางดำ เป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นสร้างความเสียหายให้ไทยมากที่สุด พร้อมชวนส่องกฎหมายต่างประเทศ รอบคอบต่อมาตรการนำเข้าสัตว์เอเลี่ยนแค่ไหน?
สัตว์เพียงไม่กี่ตัว อาจทำให้เกิดหายนะต่อความมั่นคงของชาติได้ โดยเฉพาะ เมื่อสัตว์นั้นไม่ได้มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่ในสถานที่นั้น ๆ…
รายงานขององค์การสหประชาชาติ (UNEP) ในปี 2566 ระบุว่า นับตั้งแต่ปี 2513 หลายประเทศประสบปัญหาการรุกรานของชนิดพันธุ์ต่างถิ่น (Alien Species) มากกว่า 37,000 ชนิดพันธุ์ ซึ่งในจำนวนนี้ 3,500 ชนิด จัดอยู่ในกลุ่มรุกราน ส่งผลให้พืชและสัตว์ท้องถิ่นร้อยละ 60 ทั่วโลกสูญพันธุ์ และคาดว่าภายในปี 2593 หรือในอีก 25 ปีข้างหน้า ทั่วโลกอาจมีจำนวนชนิดพันธุ์ต่างถิ่นเพิ่มขึ้นถึง 1 ใน 3
ไม่เพียงเท่านั้น รายงานจาก IPBES ในปี 2566 เผยว่า ทั่วโลกสูญเสียต้นทุนทางเศรษฐกิจกว่า 423 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ/ปี โดยสัดส่วนร้อยละ 92 เป็นความเสียหายที่เกิดกับระบบนิเวศและคุณภาพชีวิตผู้คน และอีกร้อยละ 8 เป็นเพียงค่าใช้จ่ายในการจัดการและควบคุม
ข้อมูลจาก สผ. หรือ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระบุว่า ในปี 2561 ไทยมีชนิดพันธุ์ต่างถิ่นทั้งพืชและสัตว์ ที่ขึ้นทะเบียนรายการว่ารุกรานแล้วและมีแนวโน้มรุกราน รวมกันประมาณ 196 ชนิด
ซึ่งในจำนวนนี้มี 23 ชนิด ถูกจัดลำดับให้เป็นชนิดพันธุ์ที่มีความสำคัญสูง ยกตัวอย่าง “ปลาหมอคางดำ” (ความสำคัญลำดับที่ 1) ถูกนำเข้ามาและพบการแพร่ระบาด สร้างความเสียหายต่อเกษตรกรเลี้ยงสัตว์น้ำหรือชาวประมง
โดยจากการประเมินของวิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ พบว่า ปลาหมอคางดำ สร้างมูลค่าความเสียหายในตำบลแพรกหนามแดง อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม เพียงตำบลเดียวสูงถึง 131.96 ล้านบาทต่อปี ขณะที่ภาพรวมของไทยจากการประเมินของ InvaCost ปี 2560 พบต้นทุนทางเศรษฐกิจมูลค่ารวมอยู่ที่ 5,165.79 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (หลักแสนล้านบาท)
สาเหตุของการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ มาจากการนำเข้าโดยเจตนาและไม่เจตนา เช่น การนำเข้ามาเพื่อวิจัยการเกษตร การติดมากับยานพาหนะขนส่ง การนำเข้ามาเป็นสัตว์เลี้ยง ซึ่งการระบาด ชี้ให้เห็นถึงการขาดการกำกับควบคุมดูแลที่เหมาะสม ในขณะที่ไทยยังไม่มีกฎหมายที่ว่าด้วยการป้องกัน ควบคุม หรือกำจัดโดยเฉพาะ จนนำไปสู่การมีช่องว่างทางกฎหมาย อาทิ
บทเรียนเหล่านี้เราสามารถเรียนรู้จากประเทศที่เคยเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นเดียวกันนี้ได้ ซึ่งหลายประเทศมีการจัดการที่มีประสิทธิภาพ เช่น
1.การออกกฎหมายควบคุมบังคับใช้โดยเฉพาะ ญี่ปุ่น มีกฎหมาย The Invasive Alien Species Act ปี 2547 มีสาระสำคัญ ดังนี้
2. การจัดทำฐานข้อมูลสายพันธุ์รุกราน เพื่อประโยชน์ในการจัดการ แคนาดา มีการจัดทำเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเก็บข้อมูลจากการถ่ายภาพ ระบุตำแหน่ง ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ถูกนำไปใช้ในการสนับสนุนการวางแผนเชิงนโยบาย มาตรการ และควบคุมระดับประเทศ
3. การส่งเสริมให้มีการศึกษาและพัฒนานวัตกรรมการป้องกัน สหรัฐอเมริกา มีการศึกษาและสร้าง “กำแพงไฟฟ้า” ใต้น้ำ ทำให้ปลาหลีกเลี่ยงว่ายผ่านบริเวณดังกล่าว ซึ่งสามารถชะลอการแพร่ระบาดของปลาคาร์พเอเชียได้มากถึงร้อยละ 85 – 95
4. การมีส่วนร่วมของชุมชนเพื่อการอนุรักษ์ นิวซีแลนด์ ดำเนินโครงการกำจัดชนิดพันธุ์ต่างถิ่นรุกรานและฟื้นฟูระบบนิเวศบนพื้นที่เกาะหลายแห่ง เช่น โครงการฟื้นฟูประชากรนกแก้วพื้นเมืองคาคาโปที่ใกล้สูญพันธุ์ เหลือเพียง 51 ตัว ในปี 2538 ให้เพิ่มขึ้นได้มากถึง 252 ตัว ในปี 2565 โดยอาศัยการมีส่วนร่วมจากชุมชนท้องถิ่นและอาสาสมัคร อีกทั้ง ยังได้กำหนดเป้าหมายระดับชาติ “Predator Free 2050” ในการกำจัดสัตว์นักล่าต่างถิ่นให้หมดภายในปี 2593
การดำเนินงานข้างต้นถือเป็นแนวทางที่เป็นประโยชน์สำหรับไทย ทั้งนี้ การจัดการชนิดพันธุ์ต่างถิ่นนั้น จำเป็นต้องอาศัยวิธีการที่หลากหลาย โดยในส่วนของไทยควรมีการเร่งปรับปรุงบทกฎหมายให้เฉพาะเจาะจงหรือครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
อีกทั้ง ยังอาจต้องพัฒนาระบบติตตาม การจัดทำฐานข้อมูล รวมถึงการสนับสนุนทุนด้านการวิจัยเพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศจากการถอดบทเรียนพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ ขณะเดียวกันภาคประชาสังคมและประชาชน ยังสามารถเฝ้าระวังป้องกันการรุกราน เช่น การไม่ปล่อยสัตว์น้ำ/พืชต่างถิ่น ลงสู่ธรรมชาติ
รวมถึง การแจ้งรายงานหากพบเห็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นผ่านหน่วยงานรับผิดชอบหลัก เช่น กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมประมง กรมปศุสัตว์ ฯลฯ หรือแจ้งไปยังหน่วยงานสนับสนุน อาทิ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ที่มาข้อมูล
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ