ความหวังสีเขียว บนความทุกข์ของคนปลายน้ำ เมื่อจีนกำลังสร้างเขื่อนที่ใหญ่ที่สุดในโลก บนแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ของทิเบต คนปลายน้ำกังวล อัตลักษณ์ทิเบตอาจจะหายไปตลอดกาล
ยาร์ลุงซางโป (Yarlung Zangbo) คือชื่อของแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ในทิเบต ในขณะเดียวกัน ชื่อนี้ก็กำลังกลายเป็นชื่อของเขื่อนที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยผู้ครอบครองคือ สาธารณรัฐประชาชนจีน
สำนักข่าวซินหัวของจีน รายงานว่า เมื่อวันเสาร์ที่ 19 ก.ค.2568 นายกรัฐมนตรีหลี่เฉียง ได้เข้าวางศิลาฤกษ์เพื่อเริ่มดำเนินการก่อสร้างโครงการไฟฟ้าพลังน้ำ ภายใต้นโยบาย “ซีเตี้ยนตงซ่ง” หรือ การส่งพลังงานไฟฟ้าจากตะวันตกไปตะวันออก ที่ก็ได้รับการผลักดันจากประธานาธิบดีสี จิ้นผิง โดยเขื่อนจะตั้งอยู่บริเวณพื้นที่ตอนล่างของแม่น้ำยาร์ลุงซางโป ในเขตปกครองตนเองทิเบต ประเทศจีน
การมีขึ้นของเขื่อน สร้างความกังวลให้กับประเทศปลายน้ำอย่างอินเดียและบังคลาเทศว่า อาจทำให้ผู้คนต้องอพยพและส่งผลให้คนปลายน้ำไร้อำนาจด้านการควบคุมน้ำ รวมไปถึงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ที่อาจตามมาในระยะยาว
แม่น้ำยาร์ลุงซางโป มีต้นน้ำมาจากธารน้ำแข็งอังซีในทิเบต ขึ้นชื่อว่าเป็นแม่น้ำที่ยาวที่สุดในทิเบต และเป็นแม่น้ำที่สูงที่สุดในโลก โดยมีความสูงเหนือระดับน้ำทะเลประมาณ 5,000 เมตร
แม่น้ำนี้เป็นเพียงผลพวงหนึ่งจากการกัดเซาะที่เกิดขึ้นกับหุบเขายาร์ลุงซางโป อันเป็นภูมิภาคที่ตั้งอยู่ระหว่างแผนเปลือกโลกยูเรเซียและอินเดีย ซึ่งมักจะเกิดแผ่นดินไหว นอกจากนี้ หุบเขาดังกล่าวยังขึ้นชื่อว่าเป็น “หุบเขาที่ลึกที่สุดในโลก” โดยมีความลึกถึง 6,009 เมตร และยาว 504.6 กิโลเมตร ยางและลึกกว่าแกรนด์แคนยอนของสหรัฐอเมริกาเกือบ 2 เท่า
และด้วยทิศทางของกระแสน้ำที่ลาดชัน และจากเร็วแรงจากที่สูงสู่ที่ต่ำ ทำให้แม่น้ำยาร์ลุงซางโป เป็นหนึ่งในแม่น้ำที่อุดมไปด้วยพลังงานน้ำที่มากที่สุดในโลก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับสร้างเขื่อนไฟฟ้าพลังงานน้ำ
ชาวทิเบตมีวัฒนธรรมในการเคารพบูชาธรรมชาติเหมือนพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นแม่น้ำหรือภูเขา เพราะชาวทิเบตเชื่อว่านั่นคือ บ้านของบรรพบุรุษ และเชื่อว่าธรรมชาติจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือเทพเจ้าสิงสถิตย์อยู่
การเคารพบูชาธรรมชาติของชาวทิเบตนั้น ถูกส่งต่อมานานเป็นเวลาหลายร้อยปีแล้ว และทุกคนต้องไม่ทำกิจกรรมอันเป็นการรบกวนธรรมชาติโดยเด็ดขาด นี่คือสิ่งที่ชาวทิเบตยึดถือโดยไม่จำเป็นต้องมีกฎหมายคอยกำกับ
ซึ่งแม่น้ำยาร์ลุงซางโปจะมีความสำคัญกว่าแม่น้ำอื่นเป็นพิเศษ เนื่องจากคติของชาวบ้านเชื่อว่า แม่น้ำนี้คือร่างกายของเทพีดอร์เจ พักโม (Dorje Phagmo) ร่างอวตารที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในวัฒนธรรมทิเบต เป็นเจ้าแม่อวตารหญิงและผู้นำทางจิตวิญญาณ อันดับสาม รองจาก ดาไลลามะ และปัญจันลามะ
นอกจากนี้ ชุมชนชาวทิเบตรุ่นก่อนสอนกันว่า แม่น้ำ ภูเขาและสถานที่สำคัญตามธรรมชาติต่าง ๆ ทั้งหมดในทิเบต คือส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเธอ
หลังจากจีนผนวกเข้ากับทิเบตอย่างเต็มรูปแบบในปี 1950 จีนได้ดำเนินนโยบาย “ปฏิรูปที่ดิน” ยกเลิกระบบเสรีดี๊ดฟาล และยึดถือกรรมสิทธิ์ที่ดินและสัตว์เลี้ยงของชาวทิเบตไว้เป็นของรัฐ ทำให้ทิเบตเสียทรัพย์สินและถูกจำกัดการใช้พื้นที่ของตัวเอง
นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยังบังคับย้ายชุมชนเร่ร่อนออกจากทุ่งหญ้าบางแห่ง และต้องไปอยู่ในหมู่บ้านใหม่ โดยเสนอแก่พวกเขาว่า จะพัฒนาคุณภาพชีวิต แต่ในทางปฏิบัติ สิ่งนี้ทำให้เกิดการแยกจากวัฒนธรรมเดิม และยุติการเดินป่าเลี้ยงสัตว์แบบดั้งเดิมไปด้วย
เมื่อทิเบตได้เข้ามาอยู่ในการควบคุมของจีน ทำให้ทิเบตกลายเป็นเขตปกครองตนเอง (TAR) ภายใต้กฎหมายจีน ที่แม้จีนจะให้สิทธิด้านภาษา วัฒนธรรม ศาสนา แต่ทุกอย่างต้องอยู่ภายใต้การควบคุมโดยเจ้าหน้าที่พรรคจีน ซึ่งส่วนใหญ่เป็น Han Chinese ที่มีอำนาจเหนือกว่า
ทางการปักกิ่งได้วางแผนก่อสร้างมานานหลายปีแล้ว และเพิ่งได้รับการอนุมัติเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว โดยเชื่อมโยงกับการพัฒนาและเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนของประเทศ มุ่งหน้าสู่การเติบโตของพลังงานสีเขียว แม้ว่าจีนจะมีพลังงานสะอาดมากพออยู่แล้วในปัจจุบัน แต่พลังงานที่ได้จากแม่น้ำยาร์ลุงซางโป คาดว่าจะถูกนำไปใช้ทดแทนเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ยังมีอยู่ และหวังว่าจะเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจในภูมิภาคทิเบต
โดยสื่อของจีนรายงานว่า เขื่อนยาร์ลุงซางโป จะประกอบไปด้วยสถานีไฟฟ้าพลังงานน้ำแบบขั้นบันไดจำนวน 5 แห่ง โดยประเมินงบลงทุนรวมประมาณ 1.2 ล้านล้านหยวน หรือราว ๆ 5.4 ล้านล้านบาท และมุ้งเน้นผลิตไฟฟ้าเพื่อจ่ายไปยังพื้นที่ภายนอกเป็นหลัก ขณะเดียวกันก็รองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าในท้องถิ่นทิเบตด้วย
นอกจากนี้ เขื่อนดังกล่าวจะทำลายสถิติเขื่อนสามผา เขื่อนสัญชาติจีนอีกแห่งที่ทอดยาวข้ามแม่น้ำแยงซีเกียง ประเทศจีน ซึ่งปัจจุบันครองตำแหน่งเขื่อนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ด้านความจุและกำลังการผลิตไฟฟ้าต่อปี โดยเขื่อนสามผาผลิตได้มากถึง 95-112 เทระวัตต์ชั่วโมงต่อปี
แต่หากเขื่อนยาร์ลุงซางโปนี้เสร็จสมบูรณ์ ก็จะทำให้ทุบสถิติ โดยคาดว่าจะผลิตไฟฟ้ามากกว่า 300 เทระวัตต์ หรือเกือบ 3 เท่าของเขื่อนสามผา เพียงพอสำหรับประชากรจีน 300 ล้านคน บ้างก็ว่า ปริมาณไฟฟ้านี้เทียบเท่ากับที่สหราชอาณาจักรใช้เมื่อปีที่แล้ว
แม้ว่า สื่อของจีนจะนำเสนอว่า เขื่อนนี้จะเป็นทางออกให้กับทุกฝ่ายให้ได้ประโยชน์ร่วมกัน ช่วยลดมลพิษ สร้างพลังงานสะอาด และยกระดับชีวิตชาวทิเบตในชนบท แต่ในทางกลับกัน เขื่อนดังกล่าวได้สร้างความกังวลให้กับผู้คนไม่น้อย ตั้งแต่นักวิชาการไปจนถึงคนปลายน้ำ ที่กังวลว่า การเกิดขึ้นของเขื่อนใหญ่จะส่งผลต่ออัตลักษณ์ทิเบตไปตลอดกาล และส่งผลกระทบต่อประเทศปลายน้ำด้วยเช่นกัน ซึ่งเคยมีบทเรียนเรื่องนี้มากแล้ว
ในกรณีของการสร้างเขื่อนสามผาเมื่อหลายปีก่อน ทำให้มีการบีบให้ประชาชน 1.4 ล้านคนต้องอพยพออกจากพื้นที่ ส่วนยาร์ลุงซางโปคาดว่าอาจทำให้ผู้คนนับหมื่นไปจนถึงนับล้านคนต้องอพยพเช่นกัน
อินเดียและบังคลาเทศได้แสดงความกังวล นายเปมา คันดู มุขมนตรีรัฐอรุณาจัลประเทศของอินเดีย กล่าวเมื่อต้นปีว่า เขื่อนมหึมานี้อยู่ห่างจากชายได้ไปเพียง 50 กิโลเมตร ซึ่งก็อยู่ใกล้กับชายแดนอินเดียจีน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีข้อพิพาทกันอยู่ มีทหารนับหมื่นประจำการอยู่ทั้งสองฝั่ง
ซึ่งเกรงว่า เมื่อจีนสามารถควบคุมต้นน้ำนี้ได้ อาจทำให้แม่น้ำที่ไหลผ่านรัฐอรุณาจัลประเทศของอินเดียแห้งเหือดได้ถึง 80% และจะก่อให้เกิดภัยคุกคามต่อการดำรงอยู่ของชนเผ่าและวิถีชีวิต สมมุติว่า จู่ ๆ พวกเขาเปล่อยน้ำออกมา พื้นที่ก็จะถูกทำลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชนเผ่าอาดี และชุมชนอื่น ๆ ที่ต้องเห็นทรัพย์สิน วิถีชีวิต ที่ดิน บ้านเกิดตัวเองหายไป
อย่างไรก็ตาม จากกรณีเขื่อนดังกล่าว ทำให้อินเดียมีแผนที่สร้างเขื่อนพลังน้ำขนาด 10 กิกะวัตต์บนแม่น้ำเซียง (แม่น้ำสาขาหนึ่งของแม่น้ำพรหมบุตร) ของอินเดีย ที่จะทำหน้าที่เป็นกันชนสำหรับการปล่อยน้ำอย่างกระทันหันของจีน และป้องกันไม่ให้พื้นที่ของพวกเขาน้ำท่วม
ไม่เพียงเท่านั้น นักวิชาการหลายท่านกังวล ว่าเขื่อนอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอันเป็นเอลักษณ์ของชาวทิเบต ให้เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล อาทิ ข้อกังวลเรื่องหุบเขาทิเบต ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของการเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ การสร้างเขื่อนอาจทำให้สิ่งเหล่านี้หายไป
หรือจะเป็นอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการสร้างเขื่อนในภูมิภาคที่มีรอยเลื่อนแผ่นดินไหวมากมาย ซึ่งหากเกิดแผ่นดินไหวขึ้นมา จะมั่นใจได้อย่างไรว่าเขื่อนจะไม่พังทลายลงในวันใดวันหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ บังคลาเทศจึงเรียกร้องให้จีนส่งรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเขื่อน
สุดท้ายนี้ แม้ว่าจะมีเสียงคัดค้านมากเพียงใด การก่อสร้างก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ท่ามกลางเสียงวิพาก์วิจารณ์มากมาย ที่หลายฝ่ายได้เพ่งเล็ง โดยเฉพาะนัยทางภูมิศาสตร์ที่จีนเองก็ได้ทำกับแม่น้ำโขงเช่นกัน รวมไปถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นของเขื่อนจีนทั้ง 11 แห่งบนน้ำโขง ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงของสิ่งมีชีวิตในแม่น้ำและตะกอนต่าง ๆ ส่งผลต่อการพังทลายของตลิ่งและชุมชนริมน้ำ รวมถึงวิถีชิวตของชุมชนริมโขงหลาย ๆ ด้านที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัดในปัจจุบัน
ที่มาข้อมูล
Xinhua
Wikipedia