svasdssvasds

คลื่นยักษ์ "ขยะอิเล็กทรอนิกส์" สร้างโดยสหรัฐฯ เป็นภาระที่เอเชีย

คลื่นยักษ์ "ขยะอิเล็กทรอนิกส์" สร้างโดยสหรัฐฯ เป็นภาระที่เอเชีย

รายงานชี้ 10 บริษัทสหรัฐฯ แอบส่งออกขยะอิเล็กทรอนิกส์นับล้านตันมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ต้องรับภาระในการกำจัด รวมถึงมลพิษหลังจากนั้นด้วย

SHORT CUT

  • สหรัฐอเมริกาส่งออกขยะอิเล็กทรอนิกส์ปริมาณมหาศาลไปยังประเทศกำลังพัฒนาในเอเชีย ซึ่งไม่มีความพร้อมในการจัดการขยะอันตรายอย่างปลอดภัย
  • เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะมาเลเซียและไทย กลายเป็นเป้าหมายหลักในการรองรับขยะเหล่านี้ ก่อให้เกิดมลพิษร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อมจากการกำจัดที่ไม่ถูกวิธี
  • ทางการไทยและมาเลเซียได้เพิ่มความเข้มงวดในการปราบปรามและยึดตู้คอนเทนเนอร์ขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ลักลอบนำเข้าจากสหรัฐฯ เพื่อต่อสู้กับปัญหา "การล่าอาณานิคมขยะ"

รายงานชี้ 10 บริษัทสหรัฐฯ แอบส่งออกขยะอิเล็กทรอนิกส์นับล้านตันมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ต้องรับภาระในการกำจัด รวมถึงมลพิษหลังจากนั้นด้วย

รายงานฉบับใหม่ของหน่วยงานกำกับดูแลด้านสิ่งแวดล้อมที่เผยแพร่เมื่อวันพุธระบุว่า มีขยะจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกทิ้งนับล้านตันจากสหรัฐฯ กำลังถูกส่งไปยังต่างประเทศ โดยส่วนใหญ่ไปยังประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งไม่ได้เตรียมความพร้อมในการจัดการขยะอันตรายอย่างปลอดภัย 

ข้อมูลดังกล่าวมาจากเครือข่ายปฏิบัติการบาเซิล (Basel Action Network) หรือ BAN ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในเมืองซีแอตเทิล หลังการสืบสวนที่กินเวลานาน 2 ปี พวกเขาพบว่ามีบริษัทในสหรัฐฯ อย่างน้อย 10 แห่งที่ส่งออกขยะจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใช้แล้วไปยังเอเชียและตะวันออกกลาง ในปริมาณมหาศาลจนเรียกได้ว่าเป็น "คลื่นยักษ์ขยะอิเล็กทรอนิกส์" ที่ถูกซุกซ่อนจากสายตาชาวโลก 

คลื่นยักษ์ \"ขยะอิเล็กทรอนิกส์\" สร้างโดยสหรัฐฯ เป็นภาระที่เอเชีย

เอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังตกอยู่ในสภาวะอันตราย

ปัจจุบัน ขยะอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-waste ซึ่งหมายถึงอุปกรณ์ที่ถูกทิ้งแล้ว เช่น โทรศัพท์และคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีทั้งวัสดุมีค่าและโลหะที่เป็นพิษ เช่น ตะกั่ว แคดเมียม และปรอท กำลังมีปริมาณที่เติบโตเร็วกว่าความสามารถในการรีไซเคิลของทั่วโลกถึงห้าเท่า 

ขณะที่ "คลื่นยักษ์ขยะอิเล็กทรอนิกส์" จากสหรัฐ กำลังเพิ่มภาระให้กับเอเชีย ซึ่งปัจจุบันผลิตขยะอิเล็กทรอนิกส์คิดเป็นปริมาณเกือบครึ่งหนึ่งของโลกอยู่แล้ว 

ปัญหาของเอเชียคือ ขยะอิเล็กทรอนิกส์ส่วนใหญ่ไม่ได้ถูกนำไปจัดการอย่างถูกต้อง แต่ถูกทิ้งในหลุมฝังกลบ ปล่อยสารเคมีที่เป็นพิษสู่สิ่งแวดล้อม และแม้ว่าขยะอิเล็กทรอนิกส์บางส่วนจะถูกนำไปทิ้งในโรงงานรีไซเคิล แต่สุดท้ายคนงานก็จะนำเผาจนเกิดควันพิษอยู่ดี

รายงานระบุว่ามีตู้คอนเทนเนอร์อิเล็กทรอนิกส์ใช้แล้วประมาณ 2,000 ตู้ หรือประมาณ 33,000 เมตริกตันออกจากท่าเรือของสหรัฐอเมริกาทุกเดือน โดยมีบริษัทที่อยู่เบื้องหลังการขนส่ง ซึ่งถูกเรียกว่า "นายหน้าขยะอิเล็กทรอนิกส์" พวกเขามักจะไม่รีไซเคิลขยะด้วยตนเอง แต่จะส่งไปยังบริษัทในประเทศกำลังพัฒนาแทน

รายงานยังประเมินว่า นับตั้งแต่เดือนมกราคม 2566 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2568 บริษัททั้ง 10 แห่งได้ส่งออกขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่อาจปนเปื้อนมากกว่า 10,000 ตู้คอนเทนเนอร์ คิดเป็นมูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่มูลค่าการค้าขยะอิเล็กทรอนิกส์โดยรวมของอุตสาหกรรมอาจสูงถึง 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน

อย่างไรก็ตาม บริษัทหลายแห่งที่มีชื่ออยู่ในรายงาน ได้ออกมาปฏิเสธ โดยยืนยันว่าพวกเขาไม่ได้ส่งออกเศษเหล็ก แต่ส่งออกเฉพาะชิ้นส่วนที่ใช้งานได้เพื่อนำกลับมาใช้ใหม่เท่านั้น 

มาเลเซียกลายเป็นแหล่งรวมขยะ ... ไทยก็โดนด้วย

หลังจากที่จีนห้ามการนำเข้าขยะจากต่างประเทศในปี 2017 ธุรกิจจีนหลายแห่งได้ย้ายการดำเนินงานมายังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะ "มาเลเซีย" ที่กลายเป็นแหล่งรวมขยะ และยังมีตู้คอนเทนเนอร์บางส่วนถูกส่งไปยังอินโดนีเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แม้ว่าจะมีการห้ามตามอนุสัญญาบาเซิลและกฎหมายภายในประเทศก็ตาม

ก่อนหน้านี้ ทางการไทยและมาเลเซียได้เพิ่มความพยายามในการควบคุมการนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์จากสหรัฐฯ อย่างผิดกฎหมาย 

โดยในเดือนพฤษภาคม เจ้าหน้าที่ไทยยึดขยะอิเล็กทรอนิกส์จากสหรัฐฯ 238 ตันที่ท่าเรือกรุงเทพฯ และยึดเศษโลหะจากสหรัฐฯ 238 ตันที่ท่าเรือกรุงเทพฯ ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่มาเลเซียยึดขยะอิเล็กทรอนิกส์มูลค่า 118 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากการบุกจับทั่วประเทศในเดือนมิถุนายน

เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ศูนย์ปราบปรามการทุจริตของมาเลเซียต้องออกมาเคลื่อนไหว พร้อมเตือนด้วยว่า การส่งออกขยะอิเล็กทรอนิกส์จากประเทศร่ำรวยไปยังประเทศกำลังพัฒนาสร้างความตึงเครียดให้กับโรงงานในท้องถิ่น บั่นทอนความพยายามในการจัดการขยะในครัวเรือน และถือเป็นรูปแบบหนึ่งของ "การล่าอาณานิคมขยะ"