
ผศ.ดร.อลงกต ฝั้นกา หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการวิจัยแร่และศิลาวิทยาประยุกต์ ภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้ ไทยมีศักยภาพ ‘ธาตุหายาก’ แนะสำรวจให้ชัดเจน ทั้งคุณภาพ-ปริมาณ
เมื่อเร็วๆนี้ในประเทศไทยมีการพูดถึงเรื่องธาตุหายาก (Rare earth elements) และแร่ธาตุสำคัญ (Critical minerals) กันอย่างมาก วันนี้ #SPRiNG มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ ผศ.ดร.อลงกต ฝั้นกา หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการวิจัยแร่และศิลาวิทยาประยุกต์ ภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงประเด็นร้อนดังกล่าว โดย ผศ.ดร.อลงกต กล่าวว่า ธาตุหายาก (Rare earth elements) ประกอบด้วยธาตุทั้งสิ้น 17 ธาตุ
ประกอบด้วย ธาตุในกลุ่มแลนทาไนด์ 15 ธาตุ (La ถึง Lu) รวมกับธาตุสแกนเดียม (Sc) และอิตเทรียม (Y) โดยธาตุหายากเหล่านี้เป็นทรัพยากรที่เป็นที่ต้องการอย่างมากในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงในปัจจุบัน ซึ่งถือได้ว่าเป็นหนี่งในแร่ธาตุสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของหลายประเทศทั่วโลก
แร่ธาตุสำคัญ (Critical minerals) คือ ทรัพยากรแร่ธาตุที่เป็นวัตถุดิบสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจหลักในปัจจุบันและมีส่วนสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคตโดยเฉพาะอย่างยิ่งมีบทบาทสำคัญในด้านเทคโนโลยีพลังงานและเทคโนโลยีขั้นสูงสมัยใหม่ซึ่งหลายประเทศทั่วโลกมีการกำหนดแร่ธาตุสำคัญของตนเองไว้อย่างชัดเจนที่อาจแตกต่างกันบ้าง แต่มีแร่ธาตุสำคัญหลายชนิดที่ทุกประเทศได้กำหนดไว้เหมือนกันคือ ธาตุหายาก และธาตุอื่นๆ เช่น ลิเทียม (Li) นิกเกิล (Ni) โคบอลต์ (Co) ดีบุก (Sn) ทังสเตน (W) ทองแดง (Cu) เป็นต้น
ศักยภาพธาตุหายากของไทย
จากการศึกษาวิจัยทางธรณีวิทยาเกี่ยวกับแหล่งธาตุหายากในประเทศไทย พบการสะสมตัวของแหล่งธาตุหายาก 3 รูปแบบ ที่มีลักษณะการสะสมตัวของธาตุหายากและศักยภาพธาตุหายากต่างกันไปดังนี้
1) แหล่งธาตุหายากปฐมภูมิ (Primary REE deposit) เป็นธาตุหายากที่พบในหินต้นกำเนิดประเภทหินอัคนีที่กระจายตัวอยู่ในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะหินแกรนิตแนวตะวันตกและแนวกลางที่กระจายตัวทั่วประเทศขนานกันตั้งแต่ภาคเหนือถึงภาคใต้ ซึ่งงานวิจัยยังบ่งชี้ชัดเจนว่าหินแกรนิตดังกล่าวมีแร่ที่มีธาตุหายากเกิดร่วมด้วยแต่อาจมีปริมาณไม่มากนัก และพบว่าเกิดสัมพันธ์กับแร่ธาตุสำคัญอื่นๆ ชัดเจน เช่น ดีบุก ทังสเตน ลิเทียม เป็นต้น นอกจากนี้ยังพบว่าหินอัคนีสีเข้มจัดที่พบในประเทศมีปริมาณธาตุหายากสูงเช่นกัน โดยแหล่งธาตุหายากแบบปฐมภูมิที่สำคัญของโลก เช่น อเมริกา แคนนาดา จีน รัสเซีย เป็นต้น ซึ่งอาจมีหินต้นกำเนิดที่แตกต่างกัน เช่น หินคาร์บอเนไทต์และหินอัคนีชนิดอัลคาไลน์ เป็นต้น
2) แหล่งธาตุหายากแบบลานแร่ (Placer deposit) และแร่หนัก (heavy minerals) เป็นแหล่งธาตุหายากที่อยู่ในแร่หนัก (heavy minerals) ซึ่งมีความถ่วงจำเพาะมาก จึงมักสะสมตัวได้ดีร่วมกับแร่ดีบุกในแหล่งดีบุกแบบลานแร่ และพบแร่ที่มีธาตุหายากในชั้นดินที่เกิดจากการผุพังอยู่กับที่ของหินแกรนิตอย่างชัดเจน โดยแร่ที่มีธาตุหายากสำคัญที่พบได้แก่ โมนาไซต์ (Monazite) ซีโนไทม์ (Xenotime) และแอลลาไนต์ (Allanite) โดยแหล่งธาตุหายากแบบลานแร่และแร่หนักที่สำคัญของโลก เช่น ออสเตรเลีย มาเลเซีย อินเดีย เป็นต้น
3) แหล่งธาตุหายากแบบไอออนที่ดูดซับโดยดิน (Ion-adsorption clay deposit) พบธาตุหายากสะสมตัวในชั้นดินที่ผุพังจากหินแกรนิตในรูปแบบของไอออนหรือแร่ทุติยภูมิที่เกิดขึ้นจากไอออนของธาตุหายากมาสะสมตัวกันในชั้นดิน ซึ่งมีปริมาณของธาตุหายากสะสมตัวสูงในหลายพื้นที่และยังพบว่าธาตุหายากมักเกิดการสะสมตัวของธาตุหายากในปริมาณสูงในชั้นดินบางชั้นอันเป็นผลจากการผุพังของหินต้นกำเนิดแล้วถูกดูดซับไว้ในดิน โดยแหล่งธาตุหายากแบบไอออนที่ดูดซับโดยดินที่สำคัญของโลก เช่น จีน บราซิล เป็นตัน
ดังนั้นจากข้อมูลการศึกษาวิจัยบ่งชี้ว่าประเทศไทยมีศักยภาพธาตุหายากหลายพื้นที่ แต่ยังจำเป็นต้องมีการสำรวจรายละเอียดเพื่อนำไปสู่ความชัดเจนในด้านคุณภาพและปริมาณของทรัพยากรธาตุหายากของในประเทศและการบริหารจัดการที่เหมาะสมต่อไป