svasdssvasds

คู่รักสายกรีนถ่ายพรีเวดดิ้งกับกองขยะ พร้อมจัดงานแต่งแบบรักษ์โลก

คู่รักสายกรีนถ่ายพรีเวดดิ้งกับกองขยะ พร้อมจัดงานแต่งแบบรักษ์โลก

งานแต่งงานเป็นอีกกิจกรรมหนึ่งของมนุษย์ที่ทำให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม อย่าง ปัญหาขยะ จึงทำให้คู่รักสายกรีนชาวไต้หวัน เกิดไอเดียถ่ายรูปพรีเวดดิ้งกับกองขยะ และจัดงานแต่งแบบรักษ์โลกโดยให้แขกที่มานำภาชนะส่วนตัวมาด้วย เพื่อใส่อาหารที่เหลือจากงาน

ในโลกออนไลน์มีภาพที่เป็นไวรัลต่างประเทศ เป็นภาพของคู่รักสายกรีนชาวไต้หวันสวมชุดเจ้าบ่าว เจ้าสาวถ่ายพรีเวดดิ้งท่ามกลางกองขยะขนาดมหึมา โดยเจ้าสาวมีชื่อว่า Iris Hsueh นักรณรงค์ของ Greenpeace และคู่หมั้น ตัดสินใจเดินทางจากไทเปไปที่เมือง Puli ซึ่งห่างจากไทเป 3 ชั่วโมง เพื่อถ่ายพรีเวดดิ้งกับกองขยะฝังกลบ

พรีเวดดิ้งท่ามกลางกองขยะขนาดใหญ่ เครดิต : FB Iris Hsueh 

โดยปกติแล้วคู่รักที่กำลังจะแต่งงานกันจะเลือกสถานที่สวยงามในการถ่ายพรีเวดดิ้งเพื่อเก็บเป็นความทรงจำที่ดี แต่สำหรับเจ้าสาวนักรณรงค์ของ Greenpeace และคู่หมั้นได้เลือกที่จะเดินทางไปถ่ายพรีเวดดิ้งกับกองขยะฝังกลบในเมืองผูหลี่ มณฑลหนานโถว 

Iris Hsueh เจ้าสาวนักรณรงค์ของ Greenpeace ถ่ายพรีเวดิ้งกับกองขยะ เครดิต : FB Iris Hsueh 

กองขยะฝังกลบในเมืองผูหลี่ มีปริมาณขยะที่ถูกนำมาทิ้งที่กองขยะแห่งนี้ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จากเดิมทีเป็นลานจอดรถสำหรับรถบรรทุกขยะ และใช้เป็นสถานที่เก็บขยะชั่วคราวซึ่งตอนนี้ชั่วคราวมา 3 ปีแล้ว และดูเหมือนว่าปริมาณขยะก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 

Iris Hsueh เจ้าสาวนักรณรงค์ของ Greenpeace ต้องการสร้างความตระหนักรู้ถึงปัญหาขยะว่ามันสำคัญแค่ไหน รวมถึงต้องการลดปริมาณขยะด้วย ซึ่งในงานแต่งของเธอที่จะมีขึ้นในเดือนมกราคม 2024 เธอจะจัดงานแต่งรักษ์โลก โดยให้แขกที่มางานนำภาชนะส่วนตัว อย่าง แก้วน้ำ จาน ช้อน กล่องข้าว หรือภาชนะที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ และยังให้แขกนำอาหารที่เหลือในงานกลับไปได้ด้วย โดยนำภาชนะส่วนตัวมาใส่ เพื่อหลีกเลี่ยงพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวและขยะอาหาร

พรีเวดดิ้งรักษ์โลก เครดิต : FB Iris Hsueh 

ไต้หวันเป็นเกาะที่มีประชากร 23 ล้านคน มีโครงการรีไซเคิลมาตั้งแต่ปี 1987 โดยมีขยะในครัวเรือนมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจากการคำนวนแล้วถือเป็นอัตราที่สูงที่สุดในโลก ย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษ 1980 ปริมาณขยะอยู่ที่ประมาณ 20 ตันต่อวัน ปัจจุบันมีมากถึง 50 ตันต่อวัน

 

ที่มา : Hong Kong Free Press / FB Iris Hsueh 

 

เนื้อหาที่น่าสนใจ :