SHORT CUT
การแก้ไขกฎหมาย พ.ร.ก.ประมง 2558 มาตรา 69 ในปี 2567 อาจนำไปสู่หายนะของปลาทูไทย ที่กำลังถดถอย ปัจจุบัน คนไทยกินปลาทูนำเข้ามากกว่า 90% มันเกิดอะไรขึ้น?
“ปลาทู” ปลาที่คนไทยรู้จักดีและแทบจะกินกันทุกบ้าน แต่รู้หรือไม่ว่า ปลาทูที่เราบริโภคอยู่ในประเทศไทยทุกวันนี้ เป็นปลาทูนำเข้าจากต่างประเทศไปแล้วกว่า 90% เพราะคนนิยมบริโภค แต่ทะเลไทยผลิตให้ไม่ทัน และอาจเป็นเพราะเราดูแลทะเลได้ไม่ยั่งยืนพอ
เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบ แก้ไขมาตรา 69 ในพระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประมง พ.ศ.2558 พ.ศ. … หรือร่างกฎหมายประมงฉบับใหม่
โดยเนื้อหาเดิมระบุว่า ห้ามมิให้ผู้ใดใช้เครื่องมืออวนล้อมจับที่มีช่องตาอวนเล็กกว่า 2.5 เซนติเมตร ทำประมงในเวลากลางคืน
แต่เนื้อหาฉบับใหม่ ระบุเพิ่มเติมไปว่า ห้ามมิให้ผู้ใดใช้เครื่องมืออวนล้อมจับที่มีช่องตาอวนเล็กกว่า 2.5 เซนติเมตร ในเขต 12 ไมล์ทะเลนับจากแนวทะเลชายฝั่งในเวลากลางคืน
นั่นหมายความว่า หากอยู่นอกเขต 12 ไมล์ทะเล ก็สามารถใช้อวนตามุ้ง (ช่องตาเล็กกว่า 2.5 เซนติเมตร) ได้ และสามารถจับได้ในเวลากลางคืน พร้อมใช้ไฟล่อ
โดยเหตุผลในการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายฉบับนี้ รัฐบาลอ้างว่า มีเจตนาเพื่อ ลดการนำเข้าปลากะตัก เพราะจริงๆ แล้ว ปริมาณปลากะตักในทะเลไทยยังคงมีเหลือเพียงพอให้จับ แต่เพราะมีกฎหมายควบคุมดังกล่าว จึงทำให้จับปลากะตักได้ไม่เต็มที่ เลยจำเป็นต้องนำเข้าจากต่างประเทศ
กรมประมงกล่าวว่า ปลากะตัก เป็นทรัพยากรสัตว์น้ำทางเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยในปี 2567 ประมงจับปลากะตักได้เพียง 90,000 ตัน โดยปลากะตักมีอายุขัย 1 ปี หากไม่จับจะตายไปตามธรรมชาติ จึงเป็นการสูญเสียทางเศรษฐกิจ และเมื่อจับปลากะตักได้น้อย จะส่งผลให้วัตถุดิบในอุตสาหกรรมน้ำปลาและปลากะตักตากแห้งในประเทศไม่เพียงพอ ทำให้ผู้ประกอบการต้องนำเข้าจากต่างประเทศ
นอกจากนี้ มีการระบุเพิ่มเติมว่า แม้รัฐบาลจะทำการผ่อนปรนกฎหมายให้ประมงพาณิชย์สามารถจับปลากะตักได้มากขึ้นตามเนื้อหาแก้ใหม่ของพ.ร.ก.ประมง 58 ม.69 แต่จะสามารถทำได้ก็ต่อเมื่ออยู่ภายใต้เงื่อนไขว่าจะต้องมีการขออนุญาตในการใช้อวนที่มีตาอวนเล็กกว่า 2.5 เซนติเมตร และต้องมีมาตรการควบคุม ในเรื่องของพื้นที่ ขนาดอวน การใช้แสงไฟ จำนวนเรือ และจะต้องไม่จับสัตว์น้ำวัยอ่อนเกินกว่าประกาศกำหนดตามมาตรา 57
อย่างไรก็ตามเมื่อวันที่ 12 ม.ค. 2568 นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง ได้ออกมาชี้แจงว่า ข้อกำหนดดังกล่าวจะยังไม่มีผลบังคับใช้ทันทีเมื่อกฎหมายผ่านขั้นตอนจนออกมาเป็นพระราชบัญญัติ และชี้แจงว่า การแก้ไขกฎหมายดังกล่าว เป็นไปเพื่อจัดระเบียบการประมงเพื่อรักษาทรัพยากรสัตว์น้ำให้อยู่ในภาวะเป็นแหล่งอาหารของมนุษยชาติอย่างยั่งยืน
ด้วยประกาศดังกล่าว จึงนำไปสู่ความไม่พอใจของสมาคมประมงพื้นบ้าน เหล่านักอนุรักษ์ นักดำน้ำ และนักตกปลา ที่ได้รวมตัวกันคัดค้านการแก้ไขพ.ร.ก.ประมง 58 ม.69 เนื่องจากเกรงว่า หากอนุญาตให้ประมงพาณิชย์จับสัตว์น้ำเพิ่มได้ในเวลากลางคืน พร้อมใช้ไฟล่อ รวมถึงสามารถใช้อวนตาถี่จับสัตว์น้ำได้ จะนำไปสู่ระบบนิเวศทางทะเลที่ไม่ยั่งยืน สัตว์น้ำพลอยได้จะถูกจับมากขึ้น เพราะทะเลไม่ได้มีแค่ปลากะตัก แต่ยังมีสัตว์น้ำน้อยใหญ่อีกหลายชนิด รวมถึงปลาทูไทย ที่ทุกวันนี้ก็ฟื้นฟูยากอยู่แล้ว
สปริงนิวส์ ในคอลัมน์ Keep The World มีโอกาสได้พูดคุยกับคุณวิโชคศักดิ์ รณรงค์ไพรี นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย ถึงความเห็นต่อร่างกฎหมายดังกล่าว คุณวิโชคศักดิ์เล่าให้ฟังว่า “ตอนนี้ เรามีเวลาถึงแค่สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ ในการโน้มน้าวให้สว.คัดค้านร่างพ.ร.ก.ประมงฉบับใหม่ โดยตอนนี้มีโอกาส 50/50”
“จริง ๆ การแก้กฎหมายประมงรอบนี้ มีหลายมาตรามาก ๆ มากกว่า 70 มาตราเลย ซึ่งมาตราอื่น ๆ ก็มีประเด็นนะ แต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตที่พอรับได้ กฎหมายมันมีพลวัตของมัน มีการเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย แต่สำหรับมาตรา 69 ผมคิดว่าเราต้องมาถกกันใหม่ ต้องให้มันรอบคอบกว่านี้ จริง ๆ ในการอภิปรายสภาผมมี 3 ประเด็นที่อยากถก อันแรกคือมาตรา 69 นี่แหละ สองคือ อวนลากคู่ที่อยากให้ยกเลิกไปเลย เพราะกวาดต้อนลูกปลาไปจนจะหมดทะเลแล้ว เป็นเครื่องจักทำลายล้างชั้นดี และสาม เรื่องของการกระจายอำนาจ แต่ที่เน้นเรื่อง มาตรา 69 เพราะมองว่า มันเป็นการก่อปัญหาใหม่ และก็มีกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบ”
“ตอนนี้ปลากะตักโลละ 5 บาท ส่วนปลาทู โลละร้อยกว่าบาท ถ้าผมเป็นรัฐบาล ผมถามว่า 2 ชนิดนี้ ควรจะแก้อันไหนก่อน เพราะรู้หรือไม่ว่า ในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา จำนวนปลาทูที่จับได้ตอนนี้เหลือแค่ 20,000-30,000 ตัน จาก 150,000 ตันต่อปี มันหายไป คุณคนกินปลาก็ลองคิดดูว่า ถ้าเป็นเรื่องเศรษฐกิจ เราควรเลือกอะไรก่อน ผมมองว่า ในสังคมไทยคนกินปลาทูเยอะนะ ส่วนปลากะตักส่วนใหญ่จะป้อนเข้าโรงงาน โลละ 5-10 บาทในแง่ของมูลค่าทางเศรษฐศาสตร์ก็ไม่ได้ ถ้าจะแก้กฎหมายเพื่อเพิ่มผลผลิต ควรเพิ่มปลาทูมากกว่าที่จะไปเพิ่มปลากะตัก”
“นอกจากนี้ ผลจากปี 2567 การจับปลากะตักโดยใช้เครื่องมือจับปกติ มีใบอนุญาตและถูกต้องตามกฎหมาย ปัจจุบันเรือประมงใหญ่ใช้อวนได้ตั้ง 4 แบบ มีช้อน มีครอบ มียก และมีลาก ตอนกลางวันใช้ได้ทั้ง 4 แบบ ส่วนตอนกลางคืนจะเหลือ 3 แบบ”
“แต่ก็อย่าลืมว่า ตอนกลางวัน อัตราการจับสัตว์น้ำพลอยได้จะน้อยกว่าตอนกลางคืน เนื่องจากแสงแดดมันจ้า สัตว์น้ำมักจะอยู่ด้านล่าง ตอนกลางคืนสัตว์น้ำจะมากขึ้น ยิ่งใช้ไฟล่อด้วยแล้ว ก็จะยิ่งดึงดูดสัตว์น้ำมากมายเข้ามา ซึ่งบางทีไม่ใช่แค่ลูกปลา แต่อาจมีสัตว์อื่นหลงเข้ามาด้วย และเรือก็มีเป็นร้อย ๆ ลำ ก็คิดดูว่าจะมีการตักตวงทะเลมากขึ้นแค่ไหน”
“ถ้าหากถามว่า ประเทศอื่นมีใช้ไหม อวนตาถี่เล็กแบบนี้ มันก็มี แต่ว่าในเงื่อนไขอะไร แต่เท่าที่ผมทราบ มีน้อยมาก อย่างโซนประเทศที่เค้าพัฒนาแล้ว เค้าไม่ให้ใช้อวนแบบนี้เลย แต่ของเรา ถ้าอ้างอิงจากที่เขาให้สัมภาษณ์ไว้นะครับ ผมไม่ได้พูดนะ เขาบอกว่า กัมพูชายังใช้อวนแบบนี้อยู่เลย ผมก็บอกว่า งั้นก็ไปทำที่กัมพูชาสิ นี่ประเทศไทย ไม่ใช่กัมพูชา ซึ่งผมไม่ได้ดูถูกนะ แต่มันไม่ควรนำมาเปรียบเทียบกัน ว่าประเทศนั้นทำได้ บ้านเราก็ทำได้ มันไม่ควรเป็นแบบนั้น เราควรยืนอยู่บนหลักการเหตุผลและความถูกต้องทางวิชาการกับความเป็นธรรม”
“มันเกี่ยวกับอาหารบนจานของเรา อย่างที่ผมยกตัวอย่าง เรากำลังกินปลาจากต่างประเทศ ผู้บริโภคไม่รู้ ว่าปลาทูส่วนใหญ่ตอนนี้ เรานำเข้าจากต่างประเทศมากกว่า 90% และก่อนที่จะมาถึงบ้านเราก็แช่อะไรต่อมิอะไรมาก็ไม่รู้ ส่งมาเป็นเดือน ๆ จากโอมาน เยเมน และอีกหลายสิบประเทศ ซึ่งมันก็คือเรื่องความปลอดภัยในอาหารและชีวิตของเรา”
“ประการที่สอง เรามีของดีอยู่กับตัว ใกล้บ้าน แต่เราทำลายอาหารของเราเองเพื่อขายในราคา 5 บาท แล้วไปซื้อปลาทูจากเพื่อนบ้านกิน เป็นร้อยบาท ผมคิดว่า สมการทางเศรษฐกิจแบบนี้มันไม่สมเหตุสมผล”
“อีกแง่หนึ่งคือ แง่เศรษฐศาสตร์ แง่เศรษฐกิจ ปลาคือทรัพยากรสาธารณะอันหนึ่ง เหมือนคลื่นโทรศัพท์ เหมือนเหมืองแร่ทองคำ เหมือนไม้สัก ผู้มาใช้ประโยชน์ต้องมีสัมปทาน หรือในกรณีประมงก็เรียกว่ามีใบอนุญาต ที่มีมูลค่า 200,000 ล้านต่อปี เรายืนอยู่บนกองเงินกองทอง และถามว่าใครเป็นเจ้าของ คนไทยทุกคนเป็นเจ้าของ คนเชียงราย คนขอนแก่น คนกรุงเทพ คนนนทบุรี เป็นของเราทุกคน เพียงแค่เราจัดสรรให้ผู้มีใบอนุญาตได้จับปลามาและเราจ่ายตังตามสมควร ตามต้นทุน”
“ผมพยายามตอกย้ำว่า ทะเลเป็นของเราทุกคน ไม่ใช่ของชาวประมง ไม่ใช่ของนักอุตสาหกรรม เพราฉะนั้น การบริหารจัดการเราทุกคนต้องมีส่วนร่วม มาช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรให้ยั่งยืนมากที่สุด สุดท้าย สิ่งที่อยากเห็นคือ อยากเห็น สว.โหวตแก้ไขมาตรานี้ แล้วก็อยากเห็นการทำงานร่วมกันระหว่าง สส.และสว. ผมอยากเห็นการแก้ปัญหาทะเลทั้งระบบใหม่ เราไม่ควรคิดด้านใดด้านเดียว เช่น ข้อเสนอควรจับปลากะตักมาทำน้ำปลาเยอะ ๆ โดยลืมคิดเรื่องของปลาทู หรือคิดแค่เรื่องปลาทู แต่ลืมนึกถึงปลาอินทรีย์ ผมอยากเห็นการระดมสมองเพื่อให้การแก้ไขตอบโจทย์ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ สังคม และอาหารการกินในบ้านของเรา ให้มีความยั่งยืนมากขึ้นกว่าปัจจุบัน”
ที่มาข้อมูล