
เมื่อ Brutalism ปรับตัวเข้าสู่ยุค Anthropocene สู่ Eco-brutalism ใช้คอนกรีตเปลือยร่วมกับสวนลอยฟ้า และพลังงานสะอาด สร้างอาคารที่ลดรอยเท้าคาร์บอน
ก็ปัจจุบันอารยธรรมมนุษย์ได้เข้าสู่ยุค anthropocene ไปแล้ว (อย่างไม่เป็นทางการ) หมายความว่ามันคือยุคที่มนุษย์ได้เจริญรุ่งเรืองขึ้นจนสร้างอิทธิพล และผลกระทบอันใหญ่หลวงต่อสภาพภูมิอากาศโลก และแน่นอนสถาปัตยกรรมก็มีโจทย์ว่าจะทำอย่างไรที่จะเกิดขึ้นและตั้งอยู่อย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
และถ้าว่ากันถึง Brutalism มันก็คือสถาปัตยกรรมชนิดหนึ่ง ที่เน้นสร้างสภาพแวดล้อมที่ทะมึน ด้วยวัสดุที่ใช้คือคอนกริตที่ดิบ เปลือย ทึบ และตัน แค่มองดูก็รู้สึกถึงความสากที่กระโจนมาสู่ผู้พบเห็น ใครที่ชื่นชอบประเด็นที่ซับซ้อนกว่านี้ผายมือรับชมภาพยนตร์เรื่อง The Brutalist ซึ่งพูดถึงสถาปัตยกรรมชนิดนี้ในมุมของผู้รอดชีวิตจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
แต่อย่างที่กล่าวไป แนวคิดเรื่องการทำอะไรแล้วคิดถึงผลต่อสิ่งแวดล้อมมีบทบาทขึ้น จนทำให้สถาปัตยกรรมแบบ Brutalism พัฒนาไปเป็น Eco-brutalism แทนที่จะทะมึน และแปลกแยกโดดเดี่ยวจากสภาพแวดล้อม
แต่แนวคิดนี้กำลังบอกว่าเรามาทะมึน ดิบ หรือเปลือยกันอย่างเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติก็ได้ คือตัวบ้านเดิม หรือโครงสร้างไม่มีอะไรเปลี่ยนเลย เพียงแต่เสริมองค์ประกอบที่ ‘เขียวขจี ชีวภาพ’ เข้าไป เช่น วัสดุรีไซเคิล โซลูชันประหยัดพลังงาน ปลูกต้นไม้ให้เป็นส่วนหนึ่งของอาคาร
เว็บไซต์ hommes สรุป 3 องค์ประกอบของ Eco-brutalism เอาไว้ดังนี้
ผลที่ตามมาเมื่อสถาปนิกผสานสถาปัตยกรรมแบบ brutalism เข้ากับวิธีคิดแบบใส่ใจธรรมชาติก็คือ โครงสร้างที่ดูเย็นชาไร้ชีวิต กลับดูเลือดเนื้อขึ้นด้วยสีเขียวจากต้นไม้ กลายเป็นอีกหนึ่งรูปแบบของสถาปัตยกรรมแบบ brutalism ซึ่งส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพ และย่อมดีต่อโลก
นอกจากนี้ Eco-brutalism ยังท้าทายในเรื่องการใช้วัสดุ แทนที่จะพึ่งพาคอนกรีตที่ผลิตขึ้นใหม่ซึ่งมีปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์สูง สถาปนิกเลือกใช้ไม้รีไซเคิล เหล็กรีไซเคิล และหินรีไซเคิล ทางเลือกเหล่านี้สร้างอาคารที่เป็นธรรมชาติ
ที่มา: hommes
ข่าวที่เกี่ยวข้อง