ถอดรหัส มะเร็ง กับการใช้ชีวิตตั้งรับมหาภัยร้าย ที่เหนือการควบคุม

มะเร็ง เป็นโรคภัยไข้เจ็บที่พร้อมรุกคืบคลานเข้าสู่ชีวิตเราในทุกช่วงอายุ ทุกรูปแบบการใช้ชีวิต ทุกเพศ ทุกเชื้อชาติ จริงอยู่ที่รูปแบบการใช้ชีวิต อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง แต่ในทางการศึกษา ก็ยังพบว่าบางครั้ง มะเร็งก็ปรากฎขึ้นในบุคคลที่ไม่คาดคิดว่าจะมีความเสี่ยง ด้วยวิธีการใช้ชีวิต อาหารการกิน การออกกำลังกาย และวัย

ดังเช่นกรณีของ หมอกฤตไท ธนสมบัติกุล อายุ 28 ปี ที่ปรากฎเป็นข่าว ในฐานะผู้ก่อตั้งเพจ สู้ดิว่ะ อันเนื่องมาจากตรวจพบว่าตนเองเป็นมะเร็งปอด ในระยะสุดท้าย คือระยะลุกลาม

ความน่ากลัวของเรื่องนี้คือ จากที่หมอเล่าไว้ รูปแบบการใช้ชีวิตถือว่าดีงาม และเฮลตี้มากๆ นอนสี่ทุ่ม ตื่นหกโมง กินคลีน เล่นกีฬา บุหรี่ไม่สูบ ชีวิตค่อนข้างไร้ความเครียด อาชีพการงานดี ทุกอย่างดูจะเพอร์เฟค เป็นชีวิตที่หลายคนอิจฉา แต่โชคชะตาไม่เข้าใครออกใคร (กรณีนี้ขออนุญาตเรียกว่าโชคชะตา เพราะหาความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งปอดในชีวิตของหมอยังไม่เจอเลยสักมุมเดียว)
 

เอาล่ะ เรื่องราวที่เกิดขึ้นจากชีวิตของ หมอกฤตไท ก็คงต้องส่งแรงใจ และกำลังใจไปให้กัน นั่นอาจเป็นสิ่งเดียวที่เราผู้รับรู้เรื่องราวจากการถ่ายทอด สามารถแบ่งปันให้กันได้ แต่เรื่องนี้ให้อะไรกับเราผู้อ่านทั้งหลายกันบ้าง ลองมาถอดรหัสกันออดมาเป็นข้อๆดู

อย่างแรก จากเรื่องนี้ และอีกหลายๆเคสก่อนหน้านี้ อายุ ไม่ใช่ปัจจัย มะเร็งไม่เลือกอายุเหยื่อ 
ต่อมา  สมรรถภาพร่างกาย ก็ดูเหมือนเคสนี้ จะไม่ใช่ปัจจัยเสี่ยงอีกเช่นกัน เพราะคุณหมอ ออกกำลัง ร่างกายแข็งแรง สมวัย
การใช้ชีวิต สุราน้อยมาก(ตามที่หมอเล่า) ทานคลีน นอน 8 ชม.ต่อวัน ที่สำคัญ บุหรี่ไม่สูบ แต่ดันเป็นมะเร็งปอด...!!!

เอาแค่สามประเด็นที่ว่ามานี้ ก็จะเห็นว่าแม้จะปฎิบัติตัวอย่างดี รักษาสุขภาพอย่างดีมากๆ แล้ว แต่ก็ดูเหมือน มะเร็ง เป็นอะไรที่อยู่เหนือการควบคุมจริงๆ เราเอาชนะมันไม่ได้ เราป้องกันมันก็เหมือนจะไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่...

ถ้าเราเอาชนะมันไม่ได้จริงๆ คาดเดาอะไรจากมันไม่ได้ เพราะมันอยู่เหนือการควบคุม แล้วอะไรที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเรา ที่เราพอจะตั้งรับ หรือเตรียมพร้อมกับชีวิตกันได้ หากสิ่งไม่คาดฝันต้องมาเกิดขึ้นกับเราอย่างกระทันหัน

 

จากเคสคุณหมอกฤตไท อีกเช่นกัน คุณหมอเล่าว่า พบว่าตัวเองมีอาการไอแห้ง และเป็นอาการที่ยาวนาน ไม่หายขาด แต่จากการตรวจแรกๆเลย สรุปว่า ไม่ได้เป็นโควิด แต่ให้น้ำหนักไปที่เรื่อง กรดไหลย้อน จนเวลาผ่านไปสองเดือนอาการก็ยังไม่หยุด จึงตัดสินใจไปตรวจสุขภาพสักครั้ง

ผลการตรวจสุขภาพ ซึ่งคาดเดาว่าเป็นการตรวจสุขภาพในแบบทั่วไป เหมือนที่เราๆท่านๆ อาจจะเคยเข้าโปรแกรมตรวจสุขภาพรายปี (เพราะคุณหมอเล่าว่าได้ตัดสินใจไปตรวจสุขภาพ) ผลการตรวจสุขภาพพบว่าปอดข้างหนึ่งหายไปเกือบครึ่ง ส่วนปอดอีกข้างก็ปรากฏก้อนเล็กๆกระจายตัวเยอะไปหมด ชีวิตเปลี่ยนในไม่ทันข้ามคืน...

อุทาหรณ์ ของเรื่องนี้ หรือกุญแจสำคัญของเรื่องนี้ที่ไม่ได้อยู่เหนือการควบคุมของเรา อาจอยู่ที่การสังเกตอาการผิดปกติของร่างกายที่เป็นต่อเนื่องยาวนาน ไม่หายขาด และผลการวินิจฉัย การตรวจสอบในรอบแรกๆ นับแต่มีอาการผิดปกติ เป็นเข็มทิศที่สำคัญมากๆ ในการชี้ชะตาชีวิตในอนาคต 

ต้องอธิบายกันก่อนว่า มะเร็ง เป็นโรคที่หากตรวจพบไว การรักษาก็จะแตกต่างจากการรักษาเมื่อมาตรวจพบในระยะที่ลุกลามแล้ว  เจอก่อนรักษาก่อน มีโอกาสดีๆมากกว่า

แต่กรณีของ หมอกฤตไท ที่เผยแพร่ภาพเอ็กซเรย์ปอดในช่วงเวลา 2 ช่วง คือ ปี ค.ศ.2019 และปี ค.ศ.2022 ไม่ได้ตรวจต่อเนื่องทุกปี จนเข้าปี ค.ศ.2022 ในราวเดือน ส.ค. ถึง ก.ย. เวลาผ่านไปสองเดือน กับการมุ่งรักษาอาการไอเรื้อรัง ด้วยการพุ่งไปที่เรื่อง กรดไหลย้อน ซึ่งเวลาสองเดือน(มาตรวจพบเดือน ต.ค.) กับมะเร็งระยะสุดท้าย ดูจะเป็นเรื่องที่ลุกลามไวราวกับไฟไหม้ป่า ไม่มีใครคาดคิดว่า สองเดือน จากแค่ไอ จะกลายเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย หรือความจริงแล้วมันก่อตัวมาก่อนหน้านี้บ้างแล้ว...

การตรวจสุขภาพรายปี และการหมั่นสำรวจความผิดปกติของร่างกาย เป็นเรื่องที่เราสามารถควบคุมและจัดการได้ ซึ่งอาจช่วยเพิ่มโอกาสดีๆให้เรา ในกรณีที่ต้องเจอวิกฤติในชีวิตอย่างกระทันหัน และถ้าเลือกได้ หากมีอาการป่วยเรื้อรังในเรื่องใดก็ตาม วินิจฉัยให้ขาดอย่างแท้จริง ยอมเสียเวลาอีกสักนิด เพื่อความสบายใจว่าสิ่งที่เราเผชิญอยู่มันคืออะไรกันแน่ ที่สำคัญ อย่าประมาทกับชีวิต เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้จริงๆ

ความไม่ประมาท ไม่ใช่ความวิตกจริต  หลายต่อหลายเคส ทั้งที่เป็นข่าว และไม่เป็นข่าว ถ้าโชคชะตามันจะเล่นตลกกับเรา ชีวิตจะเปลี่ยนไปในเวลาแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้นเอง

แนะนำกันอย่างนี้ ก็ไม่ได้อยากให้เป็นคนวิตกจริต จนไม่เป็นอันทำมาหากิน หรือใช้ชีวิตกันตามปกติไม่ได้ แต่เพียงมาสะกิดให้ระลึกว่า อย่าประมาทกับชีวิต ตรวจได้ตรวจ เช็กได้เช็ก รู้ก่อน มีสิทธิก่อน รู้ก่อน ไม่เป็นอะไรก็สบายใจ รู้ก่อนเป็นอะไรก็รักษาได้ทัน 

เมื่อมะเร็งไม่ใช่โรคที่มุ่งรักษา แต่เป็นโรคที่ต้องมุ่งระวัง ป้องกัน

กลับมาทางเรื่องเศรษฐกิจ กับการใช้ชีวิตเพื่อตั้งรับกับทุกสถานการณ์กันบ้าง เคสของคุณหมอกฤตไท เท่าที่ทราบการรักษามะเร็งในระยะลุกลาม มีค่าใช้จ่ายที่สูงมหาศาลมาก และความพร้อมของภาครัฐในการรองรับผู้ป่วยมะเร็งที่ต้องการการรักษาในเวลาที่จำกัด ก็ดูจะน้อยเหลือเกิน โรงพยาบาลรัฐบางแห่งที่มีวิทยาการเพียงพอที่จะทำการรักษามะเร็งได้ ผู้ป่วยก็ต้องลงชื่อเข้าคิวเพื่อรอการรักษา รอคิวกันเป็นเดือนก็มี แต่เนื่องจากค่าใช้จ่ายที่มากมาย ทางเลือกของผู้ป่วยมะเร็งหลายรายจึงไม่พ้นการเข้ารับการรักษาจากโรงพยาบาลรัฐ

แต่หากมองอีกมุมหนึ่ง การเลือกที่จะทำประกันสุขภาพ หรือประกันอุบัติเหตุ แบบเสียเปล่ารายปี อาจเป็นแผนการตั้งรับ สำหรับการใช้ชีวิตในอีกแบบหนึ่ง ปัจจุบัน มีแผนกรมธรรม์ ให้ผู้ซื้อเลือกอยู่มากมายหลากหลายแบบ บางแบบ เสียเปล่า บางแบบ ก็ได้คืน อายุน้อย เบี้ยถูกและเป็นเบี้ยรายปีไม่ใช่รายเดือน บางที่ จ่ายหลักพัน หลักหมื่น ต่อปี แต่คุ้มครองโรคร้ายแรงหลักล้าน เหตุที่เขากล้าให้ เพราะผู้เอาประกันอายุน้อย ความเสี่ยงต่อการเป็นโรคร้ายแรงต่างๆ ต่ำมาก ลองสอบถามดูจะพบว่ายิ่งอายุมาก เบี้ยก็จะยิ่งแพงขึ้นตามความเสี่ยงโดยอัตโนมัติ

ที่สำคัญ ทำประกันสุขภาพไว้ตั้งแต่ยังไม่พบว่าป่วยเป็นโรคอะไรเลย จะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะหากเวลาผ่านไป มีประวัติการรักษาว่าป่วยเป็นโรคนั้น โรคนี้ โอกาสที่ บ.ประกัน จะรับทำประกันสุขภาพให้เราก็ลดลงไปเรื่อยๆ หรือไม่ก็ต้องจ่ายเบี้ยประกันที่แพงเอามากๆ

วันนี้เราๆ ท่านๆ อาจยังไม่เห็นความจำเป็นแบบเร่งด่วนขนาดนั้น หลายคนจึงยังมองข้ามการเลือกทำประกันสุขภาพรายปี แต่เมื่อไหร่ที่เจ็บป่วยไม่สบาย แล้วเห็นค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลแต่ละครั้งซึ่งมักไม่จบในครั้งเดียวแล้ว จะเห็นเลยว่าเบี้ยประกันรายปี เป็นราคาที่ถูกมาก

มากกว่ามานั่งจ่ายรายครั้งเมื่อยามที่ต้องเจ็บป่วยจริงๆ ...

สุดท้ายต้องขอขอบคุณภาพและเรื่องราวที่ คุณหมอ กฤตไท ธนสมบัติกุล ได้ถ่ายทอดไว้ในเพจ สู้ดิว่ะ เป็นวิทยาทานแก่เราๆท่านๆทุกคน เพราะมันได้ให้แง่คิดที่สำคัญอย่างนึงกับเราว่า

เรื่องของการใช้ชีวิต ประมาทกันไม่ได้เลยจริงๆ...

อ่านเรื่องราวของ หมอหนุ่ม ตั้งเพจ สู้ดิวะ เล่าชีวิตกำลังไปได้ดี แต่ตรวจเจอมะเร็งระยะสุดท้าย ที่นี่