ครบรอบ 40 ปี สมาคม Coffee Hub ได้มีงานฉลองอย่างยิ่งใหญ่ไปเมื่อวันที่ 10 พ.ย. ที่ผ่านมา ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ โดยมีคุณวินิดา มังกรกาญจน์ นายกสมาคมกาแฟไทย ได้ประกาศพันธกิจครั้งสำคัญในการก้าวสู่ Coffee Hub ยกระดับกาแฟไทยเป็นศูนย์กลางกาแฟของอาเซียน
กาแฟเป็นพืชที่เริ่มปลูกในประเทศไทยอย่างจริงจังมาเกือบ 50 ปี โดยเริ่มปลูกในภาคใต้ก่อน คือสายพันธุ์ Robusta ต่อมาจึงเริ่มปลูกสายพันธุ์ Arabica ในปี พ.ศ. 2517 ในภาคเหนือ เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรชาวไทยภูเขาปลูกเพื่อทดแทนการปลูกฝิ่น ซึ่งคนไทยยังบริโภคกาแฟไม่แพร่หลายนัก กาแฟที่ปลูกจึงมีมากกว่าที่บริโภค ซึ่งประเทศไทยมีความสามารถในการปลูกกาแฟได้มากถึง 100,000 ตันต่อปี กลายเป็นผู้ส่งออกกาแฟ โรบัสต้า ที่ได้การยอมรับถึงรสชาติและคุณภาพ ซึ่งเหนือกว่าประเทศเพื่อนบ้าน เช่น อินโดนีเซีย และเวียดนามเลยทีเดียว
ในปี 2525 สมาคมกาแฟไทย (ชื่อเดิมสมาคมผู้ส่งออกกาแฟ) ได้ก่อตั้งขึ้น นับเป็นเวลากว่า 40 ปี แล้ว ที่สมาคมกาแฟไทย ได้ทำหน้าที่ผลักดันให้กาแฟไทยได้มีโอกาสไปสู่ตลาดโลก จากผู้ส่งออกกาแฟจนทุกวันนี้ได้มีส่วนในการพัฒนาวงการกาแฟทุกภาคส่วน และอีกทั้งยังมีหน้าที่ส่งเสริมอุตสาหกรรมกาแฟไทยตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และได้พัฒนายกระดับมาตรฐานกาแฟไทยให้เป็นไปตามที่ตลาดโลกยอมรับ
นายกสมาคมกาแฟไทย ยังได้เผยถึงการพัฒนา ปรับปรุงอย่างต่อเนื่องของวงการกาแฟไทย โดยมีพันธกิจหลักคือ การเป็นศูนย์กลางของกาแฟไทยทั้งระบบ เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขัน และสร้างการรับรู้สู่ระดับสากลอย่างยั่งยืน และได้มีการสร้างสรรค์โลโก้ใหม่ซึ่งสื่อถึงการเป็นผู้เชื่อมโยงให้อุตสาหกรรมกาแฟเป็นหนึ่งเดียว
“เรามุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางและแหล่งรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับอุตสาหกรรมกาแฟทั้งระบบ เพื่อเป็นประโยชน์เพื่อส่วนรวม และรวบรวมสมาชิก ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่หลากหลายในระบบห่วงโซ่อุปทาน เพื่อมาเป็นตัวแทนร่วมกัน เพื่อการก้าวสู่การเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน และเป็นศูนย์กลางเวทีของการพบปะแลกเปลี่ยนความรู้ทุกภาคส่วนในวงการกาแฟ”
ภายในงานยังมีปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ ทิศทางกาแฟไทย โดยได้รับเกียรติจาก ดร.ชูชาติ วัฒนวรรณ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยพืชสวน นอกจากนี้ นายสุธรรม วิชชุไตรภพ ประธานมูลนิธิชาวสวนกาแฟ ตัวแทนภาคเกษตรกร ได้ขึ้นมากล่าวชื่นชมและยินดีกับสมาคมกาแฟไทยที่ได้ดำเนินมาครบรอบ 40 ปี ในการพัฒนากาแฟไทยให้เป็นที่ยอมรับทั้งในประเทศและต่างประเทศ ว่า
“การพัฒนากาแฟไทยไปสู่การแข่งขันในตลาดกาแฟโลกนั้นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบธุรกิจกาแฟ เกษตรกร และรัฐบาล ซึ่งผมและท่านสุษิร สุรัตนกวีกุล นายกสมาคมผู้ส่งออกกาแฟคนแรก เราช่วยกันคิดเพื่อรักษาสิทธิและผลประโยชน์ของเกษตรกรและผู้ประกอบธุรกิจกาแฟ เราเหมือนพี่น้องครอบครัวเดียวกัน ถ้าเกษตรกรอยู่ไม่ได้ ผู้ประกอบการธุรกิจกาแฟก็อยู่ไม่ได้ เราต้องช่วยกันพัฒนาเพื่อให้กาแฟไทยเป็นที่ยอมรับ และก้าวไปสู่เวทีตลาดกาแฟโลกให้จงได้”
“ผมโชคดีในฐานะผู้นำเกษตรกรที่ได้เข้ามาร่วมงานศึกษาและทำงานร่วมกับสมาคมกาแฟไทยตั้งแต่รุ่นแรกจนถึงปัจจุบัน ได้เรียนรู้การตลาด การพัฒนาคุณภาพและความเข้มแข็งของเกษตรกร สถาบันเกษตรกรเน้นหลักในการพัฒนาคุณภาพ การรวมกลุ่มนาผลผลิตกาแฟขายให้สมาคมผู้ส่งออกกาแฟโดยตรง โดยการรวมกลุ่ม ความเข้มแข็งของสถาบันเกษตรกร ตลอดจนการพัฒนาการผลิต การตลาด การแปรรูปผลผลิต เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร เป็นผู้ดำเนินการจัดตั้งกองทุนกาแฟ มูลนิธิชาวสวนกาแฟ และผลักดันการสมัครเป็นสมาชิกองค์การกาแฟระหว่างประเทศ หรือ ไอซีโอ และได้ประกันราคาเมล็ดกาแฟ
ก้าวต่อไปของสมาคมกาแฟไทยคือ การผลักดันทิศทางและนโยบายที่จะช่วยอำนวยความสะดวกทางการค้า เพิ่มสามารถการแข่งขันในตลาดกาแฟทั้งในประเทศและต่างประเทศ เน้นผลักดันนโยบายกับภาครัฐ เพื่อปลดล็อคอุปสรรคทางการค้า นำพาให้กาแฟไทยไปสู่เป้าหมาย การเป็น Coffee Hub ของอาเซียน